คนไทยและเขมรต้องรอฟังกันใจจดใจจ่อตอนบ่ายสามโมงเวลาบ้านเรา ว่า ศาลโลกที่กรุงเฮก จะมีมติอย่างไรต่อคำร้องขอของกัมพูชา
ให้ “คุ้มครองชั่วคราว”บริเวณพื้นที่รอบๆ ปราสาทพระวิหาร
แม้แต่รักษาการรัฐมนตรีต่างประเทศกษิต ภิรมย์ ที่พาคณะไทยไปรอคำตัดสิน ยังบอกว่าทุกคนในคณะของไทยต้อง “ลุ้นระทึก” แม้ว่าจะมีความคาดหวังไปในทางที่ดี เพราะมีการเตรียมการกันอย่างละเอียดรอบคอบทุกด้าน
ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ต่างก็วิเคราะห์ว่า แนวทางที่ศาลโลกอาจจะสั่งได้วันนี้ก็หนีไม่พ้น 1 ใน 2 ทาง คือ ให้คุ้มครองชั่วคราวตามที่กัมพูชาร้องขอ หรือยกคำร้องของเขมร
แต่ในแต่ละแนวทางนั้นก็อาจจะมีรายละเอียดปลีกย่อยลงไป เช่น แม้ว่าหากศาลมีคำสั่งให้มีมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ก็อาจจะคุ้มครองเพียงบางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมดตามที่กัมพูชาร้องขอ
และหากตัดสินไปทางใดทางหนึ่ง ก็ยังจะต้องดูว่าในคำสั่งศาลนั้นจะคงดำเนินการตามกระบวนการพิจารณาต่อไปในส่วนคำร้องของกัมพูชาที่ขอให้ศาล “ตีความคำพิพากษา” ของปี ค.ศ. 1962 อย่างไร หรือไม่
เพราะผมเชื่อว่าเจตนาลึกๆ ของกัมพูชาที่เดินเรื่องขอ “ตีความ” ครั้งนี้ คือ การหวัง “ตีกิน” ในกรณีที่ศาลโลกอาจจะมีคำวินิจฉัยกว้างๆ ว่า ให้ “คุ้มครองชั่วคราว” บริเวณรอบๆ ปราสาทพระวิหาร ซึ่งจะทำให้กัมพูชาเอาไปอ้างได้ว่าเป็นคำตัดสินเรื่อง “เขตแดน” ในบริเวณพิพาทระหว่างสองประเทศตามที่กัมพูชากล่าวอ้างมาตลอด
ความจริงก็คือว่าศาลโลกไม่มีอำนาจหน้าที่ใดๆ ที่จะตัดสินเรื่อง “เขตแดน” ระหว่างสองประเทศ เพราะว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ International Court of Justice (ICJ) นั้น มีหน้าที่ตัดสินข้อพิพาทระหว่างประเทศเท่านั้น แต่มิได้มีอำนาจในการแบ่งเส้นชายแดนระหว่างประเทศที่มีข้อพิพาทกัน
เป็นไปได้เช่นกันว่าศาลโลกอาจจะยกคำร้องของกัมพูชาโดยสิ้นเชิง ด้วยการอ้างเหตุผลว่า ศาลไม่มีอำนาจวินิจฉัยประเด็นเขตแดน โดยยึดเอาคำต่อสู้ของฝ่ายไทยที่คัดค้านการร้องขอของกัมพูชาอย่างแข็งขันเป็นหลักฐาน
เป็นไปได้เช่นกัน ที่ศาลโลกจะขอมาในลักษณะไกล่เกลี่ยให้ไทยและกัมพูชาร่วมมือกันในการพัฒนาบริเวณนั้น แทนที่จะเอาชนะคะคานกัน เพราะว่ากระบวนการยุติธรรมระดับสากลนั้น ไม่จำเป็นต้องตีความตามตัวอักษรของกฎหมายอย่างเดียว แต่จะต้องใช้ความเป็นนักกฎหมายระหว่างประเทศแก้ปัญหาระหว่างรัฐได้เช่นกัน
แต่ไม่ว่าศาลโลกจะตัดสินอย่างไร ในวันนี้ ไทยก็จะต้องยืนหยัดในการปกปักรักษาดินแดนของเราอย่างเหนียวแน่น ขณะเดียวกันก็จะต้องพร้อมที่จะทำงานร่วมกับกัมพูชา ในการหาทางออกร่วมกันอย่างสมเหตุสมผล
เมื่อ นายกฯ ฮุนเซน แห่งกัมพูชา ได้แสดงความยินดีกับรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย และแสดงความพร้อมที่จะสานสัมพันธ์กันให้ดีกว่าที่ผ่านมา ก็ต้องถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในอันที่จะยุติการเผชิญหน้าทางการเมือง การทหาร และการทูต อย่างที่เป็นมา
ที่ควรจะลุ้นระทึกจริงๆ นั้น คือ การมองข้ามชอตหลังการอ่านคำวินิจฉัยของศาลโลกวันนี้แล้ว
เพราะว่าผู้ชนะจริงๆ คือ ผู้ที่ทำให้สองประเทศสามารถฟื้นสัมพันธ์ให้กลับสู่ภาวะปกติได้ มิใช่ผู้ชนะในคดีความแต่อย่างใด
เพราะว่าผู้ชนะจริงๆ คือ ผู้ที่ทำให้สองประเทศสามารถฟื้นสัมพันธ์ให้กลับสู่ภาวะปกติได้ มิใช่ผู้ชนะในคดีความแต่อย่างใด
(บ่ายนี้เชิญชวนให้เกาะติดการอ่านคำตัดสินของศาลโลก รายงานสดจากทีมข่าวเครือเนชั่นจากกรุงเฮก ภาษาไทย ทาง Nation Channel และภาษาอังกฤษทาง Asean TV (ช่อง True 99) พร้อมกับรายงานข่าวทุกนาทีผ่าน Social Media ทั้ง Twitter, Facebook, YouTube, Google+ และวิเคราะห์เบื้องหน้าเบื้องหลังในหนังสือพิมพ์ The Nation กรุงเทพธุรกิจ และ คม ชัด ลึก พรุ่งนี้เช้าตรู่ทุกแผงทั่วประเทศ)