Friday, July 15, 2011

การตลาดกับงานดีไซน์


มีเพื่อนในวงการของผมคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า บางครั้งรู้สึกอยากทดสอบไอเดียของตัวเอง โดยการประกาศให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่แต่ไม่กล้า
เพราะบางครั้งกลัวว่าไอเดียขณะนั้นยังเป็นแค่ "ไอระเหย" ของความคิดของคนคนเดียวที่มองด้านเดียวอยู่ ผมกลับมองว่าบางครั้งถ้อยคำที่โต้เถียงกันทางความคิดภายในตัวเองเหล่านั้น เป็นเสียงตะโกนนอกกรอบ ซึ่งสามารถเปลี่ยนเอามาใช้เป็นพลังทางการตลาดในยุคนี้ได้ดีเป็นอย่างยิ่งครับ

การตลาดสำหรับธุรกิจประเภทบริการ ออกแบบและดีไซน์ (service-based marketing) เป็นการตลาดแบบที่เราให้ความเคารพในความสามารถในการออกความเห็นสวนทางกับผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ความเห็นในแง่ดังกล่าวซึ่งเป็นความเสียงของปัจเจกบุคคลที่ตะโกนมาจากฝั่งผู้บริโภค คือการสร้างคำถามที่ตามมาด้วยความสนใจในสินค้า หรือบริการที่เรากำลังจะขาย เช่นการออกแบบโต๊ะสักชิ้นหนึ่ง สร้างทางเลือกให้คนสนใจจากความขัดแย้งทางความคิดของผู้ซื้อว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" มากกว่าสวยหรือไม่ หรือการที่บริษัทกฏหมายเลือกที่จะสร้างความผูกพันธ์กับลูกค้า เรื่องความรับผิดชอบหรือความเชื่อมากกว่าโอกาสที่จะชนะคดี (ซึ่งไม่มีใครรู้ นอกจากศาล ทำให้สัญญาอะไรไม่ได้) และการที่ลูกค้ารู้สึกว่าการได้ถกเถียง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสถาปนิกเรื่องแบบ ที่อาจจะสำคัญกว่าระยะห่างของคำว่าบริษัทไหนออกแบบแล้วสวย

สถาปนิก นักออกแบบผลิตภัณฑ์ ต้องการมุ่งมั่นทำงานในวิชาชีพของตัวเองมากกว่าการที่จะต้องมานั่งทำตลาดครับ ถึงแม้พวกเขารู้ว่าการหาลูกค้าใหม่ๆ และการทำตลาดเป็นเรื่องสำคัญในยุคนี้สมัยนี้ การทำตลาดกลับเป็นเสมือนเป็นเรื่องถูกบังคับ หรือยาขม สำหรับผู้คนในแวดวงดีไซน์เสียมากกว่า ด้วยอัตลักษณ์แบบนี้เอง ทำให้เราพอจะสรุปได้ว่ามีหลายเหตุผลที่บริษัทประเภทบริการ ออกแบบและดีไซน์ มักไม่ค่อยประสบความสำเร็จเรื่องการตลาด

เค้าว่า สถาปนิก 10 คนคุยกันก็มี 10 ความคิด สถาปนิก 2 คนคุยกันก็มี 2 ความคิด ถ้าสถาปนิกอยู่คนเดียว เขาก็จะไปยืนกลางแดดแล้วก็ยังหาเรื่อง "ทะเลาะกับเงาตัวเอง" หลายบริษัทออกแบบมักจะตัดสินใจเรื่องงานการตลาด โดยคณะกรรมการหรือหุ้นส่วนบริษัท ซึ่งประกอบด้วยคนหลายคน ด้วยความเป็นนักคิดแบบกล้าๆกลัวๆที่ถูกจับมารวมตัวกัน ผลคือ "เละ" ครับ ทะเลาะกันไม่เลิกเถียงกันไม่จบ งานการตลาดแบบนี้สำหรับบริษัทลักษณะนี้ เราควรปล่อยให้คนไม่กี่คนที่เค้าเข้าใจเรา เข้าใจธรรมชาติของธุรกิจเราจริงๆมาทำเถอะครับ

หรืออีกอย่าง บรรดานักคิดชอบหาทางลัดในเรื่องที่ตัวเองสนใจน้อย แต่คิดเยอะเกินไปในเรื่องที่ตัวเองสนใจมากครับ งานการตลาดไม่มีทางลัดที่ชัดเจน และไม่มีทางตรงๆให้เดินเสมอไปครับ การตลาดเกิดจากการวางแผนที่ดี จับประเด็นที่โดน เรื่องบางเรื่องที่เป็น gimmick ของสินค้าของเรากว่าจะคิดออกมาได้ไม่ใช่ง่าย ไม่ลัดมากก็ไม่มีใครชนะ หรือเดินตรงไปตรงมาตลอดเวลาก็ไม่ได้ใจผู้บริโภคนะครับ

การทำตลาด "เมื่อว่าง" ก็เป็นอีกเรื่องที่พลาด สถาปนิกนักออกแบบมักเห็นงานสำคัญกว่าเสมอ พอมีลูกค้า หรือมีงานคิดมันส์ๆ มีอะไรอยู่ในมือก็ทิ้งหมด งานการตลาดเป็นงานที่ต้องทำต่อเนื่อง ใส่ใจ อยู่ในแผนธุรกิจของเราตลอดเวลานะครับ หรือสุดท้าย เมื่อต้องทำก็ทำแบบประชดมันซะ เขียนแผนการตลาดซัก 50 หน้าเหมือนแบบก่อสร้างหรือ prototype ของผลิตภัณพ์ของเรา ว่ากันให้ละเอียดยิบไม่มีหล่นดีเทลล์ ความเป็นจริงคือเขียนออกมาแล้วทำได้หรือเปล่า อ่านแล้วเข้าใจมันหรือไม่ การทำการตลาดก็เหมือนกับการไปออกกำลังกาย ไปเดือนละครั้งก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร หักโหมไปอาทิตย์ละห้าครั้งในหนึ่งเดือนก็มากไปเสียเวลาทำงาน ต้องรู้จักประเมินว่าเราตั้งใจจะไปยิมเพื่ออะไร ลดน้ำหนักหรือเพิ่มกล้ามเนื้อขนาดไหน กำหนดกติกาให้ตัวเองได้เมื่อไหรถึงจะบังเกิดผลมากที่สุดครับ 

Wednesday, July 13, 2011

Ensogo : จุดชนวน Silicon Valley แบบไทยๆ


สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีเรื่องราวของช้างชนช้าง ที่ยกระดับการแข่งขันในโลกของ Social Media เมื่อ Google ได้เปิดตัว Google +
เพื่อเข้าสู่ธุรกิจ Social Network และเมื่อ Facebook ได้ร่วมมือกับ Skype เพื่อประสมประสาน Social Network เข้ากับ Video Chat  
 
ภายใต้เรื่องราวของช้าง ยังมีเรื่องราวของมด ที่ไม่ไกลเกินไปสำหรับคนไทยทั่วไป จึงไม่สมควรถูกมองข้าม  
 
สัปดาห์ที่ผ่านมาอีกเช่นกัน Living Social ธุรกิจ Social Commerce อันดับสองของโลก ได้เข้าซื้อ Ensogo ธุรกิจ Social Commerce อันดับหนึ่งของไทย ที่ยังมีสาขาอยู่ในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ด้วยมูลค่าที่ไม่อาจเปิดเผยได้ Ensogo ได้เริ่มให้บริการมาไม่ถึง 3 ปี ในธุรกิจ Social Commerce ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว จึงเป็นความน่าภูมิใจสำหรับผู้ก่อตั้งชาวไทย ที่ได้มามีบทบาทอย่างเป็นทางการ ในวงการ Social Media ระดับโลก 
 
Social Commerce คือ การประสมประสานระหว่าง Social Media และ Electronic Commerce ปัจจุบัน Groupon เป็นธุรกิจ Social Commerce อันดับหนึ่งของโลก ด้วย Valuation ที่ 50,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ Living Social เป็นธุรกิจอันดับสอง ด้วย Valuation ที่ 3,000 ล้านดอลลาร์ Social Commerce ถือเป็นโมเดลทางธุรกิจที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วที่สุดในโลกของ Social Media โดยที่ Groupon ใช้เวลาไม่ถึง 3 ปี จึงจะได้ Valuation ที่ 50,000 ล้าน จากแรกเริ่ม 1 ล้าน ในขณะที่ Facebook ใช้เวลาถึง 7 ปี 
 
การแข่งขันของ Social Commerce ในรูปแบบปัจจุบัน มีความแตกต่างในหลักพื้นฐานทางธุรกิจจาก Social Networks เพราะมีความเป็น Local สูง ทุกๆ Deal ที่นำเสนอมีลักษณะที่ผูกพันกับความเป็นท้องถิ่น จะเห็นได้ว่าธุรกิจ Social Commerce จะต้องเปิดให้บริการทีละท้องถิ่น (เมือง) ซึ่งจะต้องมีทีมงานนับร้อยนับพัน เพื่อที่จะสรรหา Deals และ Partners ในแต่ละท้องถิ่นนั้นๆ  
 
ด้วยเหตุผลประการนี้ จึงไม่มีธุรกิจ Social Commerce ใดที่ประสบความสำเร็จในทุกท้องถิ่นทั่วทุกมุมโลก Groupon และ Living Social มีความยากลำบากในการเข้าชิงพื้นที่ตลาด ที่มีผู้ให้บริการระดับท้องถิ่นที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ทั้งนี้ จึงได้ใช้วิธีเข้าซื้อผู้ให้บริการที่ประสบความสำเร็จในระดับท้องถิ่น เช่น Ensogo เป็นต้น  
 
หลายเดือนที่ผ่านมา Groupon และ Living Social ได้เข้าซื้อผู้ให้บริการระดับท้องถิ่นทั่วทุกมุมโลก ในประเทศไทย Living Social ได้เข้าซื้อ Ensogo จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ Groupon จะต้องเล็งเข้าซื้อผู้ให้บริการระดับท้องถิ่นรายอื่นๆ และด้วย Valuation ของ Groupon ที่มากกว่า Living Social ราว 15 เท่า กำลังทุนสำหรับการเข้าซื้อกิจการย่อมที่จะสะเทือนวงการได้มากกว่าอย่างแน่นอน นอกไปจากนี้ ยังมีผู้เล่นยักษ์ใหญ่ เช่น Google Offers และ Facebook Deals ที่อาจเข้าซื้อกิจการท้องถิ่นได้อีกเช่นกัน 
 
การเข้าซื้อ Ensogo และผู้ให้บริการอื่นๆ ที่จะตามมา เป็นการจุดชนวน Silicon Valley แบบไทยๆ สำหรับผู้ให้บริการ Social Commerce และกระทั่งดอทคอม Startups ทั่วประเทศ ความคึกคักในอุตสาหกรรม Social Media ของไทยจะเกิดขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน 
 
อย่างไรก็ดีโอกาสเช่นนี้ ย่อมไม่ได้เป็นของผู้ให้บริการทุกราย ท้ายที่สุดแล้ว จะไม่มีผู้ให้บริการที่ประสบความสำเร็จได้มากกว่า 2-3 ราย นอกไปจากนี้ ประเทศไทยยังถือว่าเล็กและมีความลึกลับสำหรับการลงทุนใน Social Media ระดับโลก การที่ Ensogo ประสบความสำเร็จได้ มิใช่เป็นเพียงเพราะให้บริการแต่ในประเทศ แต่ยังมี Regional Play ที่ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียอีกด้วย 

Tuesday, July 12, 2011

ระวัง! "บูมเมอแรงรากหญ้า"

พรรคเพื่อไทย .. และ พรรคร่วม รัฐบาล  เหนื่อยมากๆ กับ สิ่งที่รับปากและสัญญา ไว้กับ ภาคประชาชนระดับรากหญ้า


สมบูรณ์ เป็นคนกรุงเทพฯ ทำงานบริษัทเอกชนในเมืองหลวงมาได้ 20 ปี เพราะแค่พนักงานตัวน้อยๆ และมีภาระต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย

 สมบูรณ์ บอกว่า เขาไม่สนใจจะซื้อรถยนต์ แม้รัฐบาลจะคืนภาษีให้เป็นแสนบาทก็ตาม แต่เขาอยากใช้บริการรถไฟฟ้า 10 สายในกรุงเทพฯ ในราคา 20 บาททุกสาย ซึ่งน่าจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
  ทำให้สมบูรณ์ ต้องเช่าบ้านมาโดยตลอด แต่สมบูรณ์ หวังว่า วันหนึ่งจะซื้อบ้านเป็นของตัวเอง หลังจากเห็นป้ายหาเสียงบอกว่า จะให้ดอกเบี้ย 0% ถึง 5 ปี สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก
 สมศักดิ์ ลูกชายคนโตของ สมบูรณ์ เพิ่งเรียนจบ และออกไปสมัครงาน นอกจากอยากได้งานดีๆ ที่ตรงกับวิชาที่ร่ำเรียนมาแล้ว สมศักดิ์ ยังขอเงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000 บาท เพราะหวังจะนำเงินมาช่วยแบ่งเบาภาระคุณพ่อ ช่วยส่งเสีย สมพร น้องสาวคนเล็กที่ยังเรียนอยู่ ม. 2 อีกแรงหนึ่ง เพราะคิดว่าจากนี้ไป สมพร คงจะไม่ได้เรียนฟรีแล้ว
 ......................................................................
 สมศรี บ้านอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาชีพหลักทำนา วันนี้ สมศรี หวังอย่างเต็มเปี่ยม ว่า นา 20 ไร่ ที่ผลิตข้าวเปลือกได้ 20 เกวียน กะว่าจะแบ่งไว้กินเองสัก 2 เกวียน ที่เหลืออีก 18 เกวียน เอาไปจำนำกับรัฐบาลในราคาเกวียนละ 15,000 บาท จะได้เอาเงินไปจ่ายค่าปุ๋ย ค่ายา ที่เชื่อไว้กับเถ้าแก่ซ้ง
 สมศรี หวังลึกๆ ว่า ข้าวเกวียนละ 15,000 บาท จะทำให้ลืมตาอ้าปากได้บ้าง แถมยังมีบัตรเครดิตไปซื้อปุ๋ย ซื้อยา ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยอีก จากนี้ไปชีวิตชาวนาอย่างเรา จะไม่ลำบาก ลำบน อีกแล้ว
 ด้วยวัยสามสิบต้นๆ อย่าง สมศรี เมื่อเสร็จจากทำนา ก็จะเข้าเมืองหลวงมาขายแรงงานอยู่เป็นประจำ มาคราวนี้ สมศรี ก็หวังว่าจะได้รับค่าแรงวันละ 300 บาท เธอคิดในใจว่ารอบนี้ทำงานสัก 3 เดือนก่อนเก็บเกี่ยว ตัวเธอและสามี น่าจะมีรายได้เข้ามาเสริมอีกเดือนละ 18,000 บาท รวมๆ แล้วก็เกือบ 5 หมื่นบาท เป็นตัวเลขที่ไม่เลวเลย
 ส่วน สมหญิง ลูกสาวคนเดียวของ สมศรี วัย 7 ขวบ นักเรียน ป. 1 โรงเรียนวัดโคกอีแกลบ หวังว่า ตัวเองจะได้ถือแทบเล็ต โดยที่ยังไม่รู้เลยว่า แทบเล็ต ทำอะไรได้บ้าง แต่ก็อยากได้ เพื่อเอาไปอวด สมหมาย ลูกชายเถ้าแก่ซ้ง ที่มักเอา ไอแพด มาเล่นเกมโชว์เพื่อนๆ ที่โรงเรียนเป็นประจำ
 ..................................................................
 สมควร บ้านอยู่ภาคเหนือ เมื่อปีที่แล้ว เขาและลูกชาย สมพงศ์ และญาติๆ อีกจำนวนหนึ่ง ได้มาร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ ในช่วงสลายชุมนุม เขาต้องสูญเสียลูกชายสุดที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ เขาพยายามเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานต่างๆ แต่ก็ไม่เคยได้รับ เขาบอกด้วยความคับแค้นใจว่า ถ้าเขามีปัญญาจ้าง โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทำคดีให้ได้ ก็คงทำไปแล้ว
 การมาของกลุ่มคนเสื้อแดง หลังเลือกตั้งครั้งนี้ ทำให้ สมควร หวังไว้สูงยิ่งว่า สมพงศ์ จะไม่ตายเปล่า รัฐบาลจะต้องชำระให้แก่ สมพงศ์ พร้อมๆ กับญาติวีรชนคนเสื้อแดงอีก 91 ศพด้วย
 ............................................................
 คนเหล่านี้กำลังหวังว่าจะได้รับในสิ่งที่รัฐบาลสัญญาไว้ หลังผลการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคมออกมา และคนเหล่านี้ก็พร้อมจะออกมาทวงสัญญาเช่นกัน หากสิ่งที่เขาหวังไว้ไม่ได้รับการตอบสนอง
 ระวัง บูมเมอแรง ที่ขว้างออกไปจะย้อนกลับมาหาตัวเพราะครั้งนี้เดิมพันสูงยิ่ง เป็นบูมเมอแรงชีวิต ที่ยิ่งขว้างแรงเท่าไร ก็ยิ่งกลับมาหาเร็วขึ้นเท่านั้น!!!!!!

Power of everything

สวัสดีครับ      ยอมรับว่าห่างหายไปจากการ ทำ Blog ตนเองกว่า 1 ปี ...... ไม่ได้หลงลืม หรือ ขาดความสนใจสำหรับการเขียน Blog หรือ หาข้อมูล ...