อนาคตของยูโร เงินยูโรเริ่มขึ้นเมื่อปี 1999 สำหรับเงินตราทางบัญชี (accounting currency) และเริ่มมีเหรียญกษาปณ์และธนบัตรในปี 2002 หากย้อนหลังไปก่อนหน้านั้น การรวมตัวของประเทศต่างๆ ในยุโรปตั้งแต่ยังเรียก EEC (European Economic Community) มาเป็น EC (European Community) จนถึงปัจจุบันที่เป็น EU (European Union) จะเห็นว่าวิวัฒนาการซึ่งรวมหมายถึงการเตรียมตัว (และอาจเตรียมใจด้วย) ได้ทำด้วยความเป็นระเบียบรอบคอบและค่อยเป็นค่อยไปด้วยความมั่นใจ พูดก็พูดเถอะมันยังเป็น Model ให้ระบบเศรษฐกิจอื่นนำมาเป็นแบบอย่าง เช่น ASEAN ของเรานี่แหละ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมารุนแรงในปี 2011 นี้เองที่ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า EU จะแตกไหม? และจะยังมีเงินสกุลยูโรอยู่หรือเปล่า? สำหรับผมแล้วผมเชื่อว่า EU มาได้ไกลเกินกว่าจะล้มเหลว การปรับตัวอย่างรุนแรงในบางประเทศสมาชิกจนถึงขั้น “ไล่ออก” อาจจะเกิดขึ้น (ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสไม่สูงนักก็ตาม) แต่ผมเชื่อว่า EU ยังคงอยู่ และเงินยูโรก็ยังคงอยู่เช่นกัน
เรื่องต่อไปสภาวะเศรษฐกิจไทย ผมยังมีความเชื่ออยู่ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้นได้ อย่างที่ได้เรียนไว้ในเดือนที่แล้วว่าน้ำท่วมจะทำให้เศรษฐกิจไทย "เซ" ไป หลายๆ ท่านในขณะนี้ก็ได้ให้ความเห็นไปในแนวทางนั้น เชื่อว่าในไตรมาสที่ 2 ก็จะดีขึ้น ในเดือนนี้ผมก็เลยอยากจะทำนายต่อไปว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะลดลงได้ก็เพียงอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ทางการจะยืนอัตราดอกเบี้ยหลังจากนั้นเพื่อเฝ้าดูอัตราเงินเฟ้อ หากเริ่มกลับมาก็จะกลับมาสู่ tightening Cycle อีกครั้ง ส่วนตัวผมคิดว่า Cycle ที่ว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็วกว่าเริ่มต้นครึ่งหลังของปี 2555 สิ่งที่ผมค่อนข้างห่วง ก็คือ ฐานะการคลังและหมายรวมถึงวินัยการคลังของประเทศ การต้องใช้เงินมากในการฟื้นฟูประเทศจากเหตุการณ์ในปีนี้ และหากรวมถึงคำมั่นสัญญาในนโยบายที่เคยให้ไว้ตอนเลือกตั้งต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล และอาจจะทำให้วินัยทางการคลังย่อหย่อนลงไป จริงอยู่การยืดหยุ่นบ้างสามารถทำได้แต่คงไม่ถึงหย่อนยานนะครับ ข้อเท็จจริงคือนโยบายการคลังดูแลและรับผิดชอบโดยนักการเมือง 100% หากเรามีนักการเมืองที่ดี วิสัยทัศน์กว้างไกล ยืดหยุ่นแต่ไม่หย่อนยาน คิดผลกระทบในระยะยาว และสัญญาว่าจะไม่หนีไปไหน ก็จะ
น่าเบาใจได้ แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายมากในอนาคต ดูเอาตัวอย่างที่ยุโรปตอนนี้ก็คงเข้าใจดี
การเคลื่อนย้ายเงินทุน (Capital Flow) เรื่องยากที่จะเข้าใจแต่มีอิทธิพลต่อตลาดเงินเหลือเกินในยุคนี้ ทุกๆ คนต่างก็ฟันธงว่ายุโรปแย่ อเมริกาก็แย่ (กว่า) แล้วเงินจะไปไหนนอกจากเอเชีย ซึ่งคงยากที่จะปฏิเสธเมื่อพิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ แต่อย่างที่เรียนไว้ คือ เรื่อง Capital Flow เป็นเรื่องยากที่จะทำนายต้องอาศัยอารมณ์ศิลปินพอสมควร หากท่านเป็นนักลงทุนประเภทระยะยาวและเงินของท่านเป็นเงินเย็น (ที่ไม่ใช่เยนญี่ปุ่น) แล้วผมก็คิดว่า Asia is a good bet แต่หากท่านเป็นนักลงทุนประเภทเข้าเร็ว ออกเร็ว คงต้องใช้วิจารณญาณเพิ่มเติม เพราะไม่งั้นท่านอาจจะติด (จะติดหุ้น,currency ,ทอง ,น้ำมัน ,ข้าว ได้ทั้งสิ้น) ด้วยความเร็วของข้อมูลข่าวสารยุคปัจจุบันที่ไหนของถูกที่สุด มีโอกาสทำเงินมากที่สุด ถึงแม้ว่าระบบเศรษฐกิจจะยอดแย่ เงินก็จะไปที่นั่นครับ ผมยังมีความเชื่อว่าหุ้นในอเมริกา รวมถึง asset อื่นๆ ในประเทศนั้นมีราคาถูกลงมามาก ดังนั้นผมเชื่อว่าจะมีการลากยาวๆ ในราคา asset ที่อเมริกา ผมเชื่อว่ามีการเก็บหุ้นดีๆ (ซึ่งหมายรวมถึงบ้านและที่ดินทำเลดี ๆ) มาโดยตลอดกอปรกับค่าดอลลาร์ที่อ่อนตัวลงมามากในปีที่กำลังจะผ่านไป ขอได้โปรดติดตาม
ส่วนตลาดในเอเชีย ผมก็ยังเชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนตลาดเล่น ตลาดอย่าง TIP (Thailand , Indonesia ,Philippines) น่าจะถึงจุดเริ่มอิ่มตัวถึงอิ่มตัว หลังจากวิ่งมา 2-3 ปีที่ผ่านมาตลาดที่เคลื่อนไหวบวกน้อยกว่า เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น น่าจะเป็นโอกาสของเขาในปี 2012
ขอให้ทุกท่านโชคดีในปี 2012 ที่กำลังจะมาถึงครับ