Thursday, June 9, 2011

Trend Watching เดือนมิถุนายน นี้ออกมาแล้ว....

Trend Watching เดือนนี้ กล้่าวถึงเรื่อง Extravacanza of Innovation 12 สิ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลง สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา ... Click เข้าไปอ่านกันเลย.... ขอบคุณข้อมูลดี ๆ ทุกเดือนจาก Trendwatching.com ครับ.


http://www.trendwatching.com/briefing/

ขอโทษ คุณจะหารายได้ ทำประชานิยมจากไหน?


คุณเห็นพรรคไหนพูดถึงวิธีหาเงินเข้ารัฐไหม? ไม่มี

 ถ้าพรรคการเมืองทำตามที่สัญญาให้กับประชาชนเรื่องให้ทุกของฟรีๆ ขึ้นค่าจ้าง ลดภาษี จะเกิดอะไรขึ้นกับฐานะการเงินของประเทศ? คุณเห็นพรรคไหนไม่พูดถึงการลดแลกแจกแถมให้ประชาชนไหม? ทุกพรรคมีกึ๋นแค่นี้
 เจ๊งลูกเดียวครับ
 ถ้าอย่างนั้น ทำไมนักการเมืองหาเสียงด้วยการให้โน่นให้นี่ประชาชนเหมือนประเทศไทยนี่ร่ำรวยมหาศาล?
 เพราะเขารู้ว่าเมื่อเข้าไปมีอำนาจทางการเมืองแล้ว ก็สามารถหาเหตุแก้ตัว ไม่ต้องทำตามที่สัญญาให้ไว้กับประชาชนตอนนี้
 หรือไม่ก็ทำตัวเหมือนศรีธนญชัยว่าที่สัญญานั้นไม่ได้บอกว่าจะทำเมื่อไหร่ และจะทำได้หมดหรือไม่
 อีกทั้งถ้าหากเป็นรัฐบาลผสมด้วย ก็จะหาเหตุอ้างว่าต้องประสานนโยบายเพื่อให้มีเสถียรภาพทางการเมือง จึงไม่สามารถทำทุกอย่างได้
 เอาไว้คราวหน้า ขอให้เลือกเข้ามาอีก จะทำตามที่สัญญาตอนนี้ให้อีกรอบหนึ่ง
 ไม่ว่าใครที่มีความรู้พื้นฐานเรื่องเศรษฐกิจบ้างก็คงจะรู้ว่าที่พรรคการเมืองต่างๆ หาเสียงโดยไม่มีใครออกมาบอกว่าจะหารายได้เพิ่มเติมอย่างไรนั้น เป็นเรื่องของการ “พูดความจริงเพียงครึ่งเดียว” ทั้งสิ้น
 ไม่มีนักการเมืองไหนยอมตอบคำถามตรงไปตรงมาว่าไอ้ที่สัญญาว่าจะใช้เงินทองมหาศาลตามนโยบายหาเสียงของตนนั้น มีวิธีการสร้างรายได้เพิ่มเติมอย่างไรเพื่อให้เห็นไปตามที่รับปากรับคำไว้กับประชาชน
 มีการประเมินกันว่าหากเชื่อตามนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ที่เสนอนโยบาย “ประชานิยม” กันอย่างไม่เกรงอกเกรงใจผู้เสียภาษีนั้น หากประเมินรายจ่ายในช่วง 4 ปีจากนี้ไปแล้ว ต้องใช้เงินสูงถึง 3 ล้านล้านบาท (มติชนรายวัน อังคารที่ 7 มิถุนายน)
 เป็นตัวเลขที่ไม่มีใครต้องแปลกใจเลย เพราะเป็นการเสนอนโยบายที่ไร้ความรับผิดชอบ และขาดแผนการหารายได้มาทำให้แผนการเหล่านั้นเกิดขึ้นเป็นจริง
 ซ้ำร้ายกว่านั้นก็คือว่าไม่มีพรรคการเมืองไหนที่แข่งขันด้วยกล้าออกมาวิพากษ์ หรือเสนอความจริงที่ว่าถ้าทุกพรรคใช้เงินกันสุรุ่ยสุร่ายอย่างนั้น ประเทศชาติจะตกอยู่ในสภาพกระเป๋าฉีกอย่างไร
 พูดกันง่ายๆ ก็คือว่านักเลือกตั้งทั้งหลายประกาศนโยบายแจกจ่ายเงิน และผลประโยชน์ให้สาธารณชนก็เพื่อต้องการได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้งเท่านั้น
 มิได้มีแผนการที่จะปูพื้นฐานและวางรากฐาน เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของไทย ในเวทีระหว่างประเทศเลยแม้แต่น้อย
 แน่นอนว่าถ้าทำตามที่พรรคการเมืองสัญญิงสัญญาตอนนี้ คำว่า “วินัยการคลัง” ก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์
 ยิ่งถ้าหากพรรคการเมืองใดได้รับเลือกเข้าไปเป็นรัฐบาลและต้องการ “ครองใจ” ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต่อไป เพื่อให้ตนและพวกอยู่ในอำนาจต่อไปอีกยาวนาน ก็จะใช้เงินภาษีประชาชนนี่แหละที่จะ “ซื้อใจ” ให้พรรคของตนอยู่ต่อไป
 ที่นักการเมืองบางคนอ้างว่า “สอนคนยากไร้ให้ตกปลาเอง ไม่ยื่นปลาไปให้กินเฉยๆ” นั้นฟังดูเป็นเพียงวาทกรรมในขณะหาเสียงและพูดจาให้ฟังดูดีเท่านั้นเอง
 แต่ในความเป็นจริงทางปฏิบัตินั้น ผมยังไม่เห็นแผนการของพรรคใดที่จะเพิ่มอำนาจต่อรองของชาวรากหญ้า และวางพื้นฐานของการเรียนรู้เพื่อการเติบโตด้วยตนเองอันยั่งยืนแต่อย่างไรทั้งสิ้น
 นี่คือ “ตลกร้าย” ของประเทศที่มีแต่คนอ้างความเป็น “ประชาธิปไตย” เพื่ออำนาจของตน แต่มิได้ใช้ “ประชาธิปไตย” เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับเจ้าของประเทศแม้แต่น้อย
 เป็นเรื่องน่าประหลาดที่นักเลือกตั้งไม่เสนอแนวทางแสดงความสามารถในการ “สร้างรายได้” แต่กลับภาคภูมิใจหนักหนากับการประกาศว่าหากเข้าไปมีอำนาจในรัฐบาลจะแสดงถึงความเก่งกาจสามารถในการ “ใช้เงิน” ให้ประชาชนได้ประจักษ์
 นักการเมืองภูมิใจว่า “ใช้เงิน” เก่ง แต่ “หาเงิน” ให้ประเทศไม่เป็นนอกจากเข้ากระเป๋าตัวเองนี่ไงที่อันตรายยิ่งนัก

Tuesday, June 7, 2011

วันๆ หนึ่ง CEO ทำอะไรบ้าง :: นำมาให้อ่านกันครับ.


ท่านผู้อ่านเคยถูกผู้บริหารสูงสุดของท่านตามหรือสอบถามบ้างไหมครับว่า วันๆ ทำอะไรบ้าง และท่านผู้อ่านเกิดอารมณ์หงุดหงิดว่าจะถามอะไรกันหนักหนา

มีอาจารย์ของฮาร์วาร์ดท่านหนึ่งชื่อ Raffaella Sadun กับพรรคพวกอีกสามท่านที่มีคำถามเช่นนี้เกิดขึ้นในใจเหมือนกันครับ จึงตัดสินใจติดตามพฤติกรรมของ CEO จำนวนเกือบหนึ่งร้อยคนในประเทศอิตาลีเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ โดยขอให้บรรดาผู้ช่วยของ CEO เหล่านั้นได้บอกเล่าหรือส่งรายละเอียดและกำหนดนัดหมายต่างๆ ของ CEO ที่ใช้เวลานานกว่า 15 นาที มาเพื่อวิเคราะห์และอยากจะถามกลับไปเหลือเกินว่าแล้ววันๆ "เจ้านาย" ทำอะไรบ้าง (แต่คงไม่ได้ถามกลับไปหรอกนะครับ) ทำให้มีคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ ว่า วันๆ หนึ่งคนที่เป็นผู้บริหารสูงสุด หรือ CEO ทำอะไรบ้าง และควรจะใช้เวลาไปกับอะไรถึงจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กร
 

จริงๆ แล้ว วันๆ หนึ่ง CEO ทำสิ่งต่างๆ เยอะมาก แต่สิ่งที่ผู้วิจัยพยายามที่จะเสาะหา ก็คือ CEO ทำกิจกรรมต่างๆ เหล่านั้นกับใคร บุคคลภายในหรือบุคคลภายนอกองค์กร ทั้งนี้ ในฐานะผู้บริหารสูงสุดขององค์กร นอกเหนือจากการที่เจ้านายจะใช้เวลากับบุคลากรภายในแล้ว เจ้านายยังใช้เวลากับบุคคลภายนอกองค์กรอีกด้วย ซึ่งบุคคลภายนอกนั้นก็ครอบคลุมทั้งคู่ค้า ลูกค้า ธนาคาร ฯลฯ
 
จากผลการวิจัยพบว่าผู้บริหารส่วนใหญ่ (กว่า 85%) จะใช้กับบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นการประชุม การคุยโทรศัพท์ การพูดต่อหน้าชุมชน ในขณะที่อีก 15% ของเวลาที่เหลือจะใช้ในการทำงานอย่างโดดเดี่ยว เมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดถึงเวลาที่ทำงานร่วมกับผู้อื่นแล้ว ผู้บริหารสูงสุดจะ ใช้เวลาร้อยละ 42 กับบุคลากรภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ผู้บริหาร หรือกรรมการบริษัท จะใช้เวลา ร้อยละ 25 กับทั้งบุคคลภายในและภายนอกร่วมกัน เช่น การประชุมร่วมกันระหว่างบริษัทกับคู่ค้า และจะใช้เวลา ร้อยละ 16 กับบุคคลภายนอกเท่านั้น ท่านผู้อ่านอย่าลืมนะครับว่าเวลาต่างๆ เหล่านี้เป็นเวลาเฉลี่ย จากซีอีโอประมาณร้อยกว่าคนเท่านั้นนะครับ ซีอีโอบางท่านอาจจะใช้เวลามากกว่าหรือน้อยกว่า แตกต่างกันออกไป
 
เมื่อได้การใช้เวลาของซีอีโอแต่ละท่านแล้ว ทางทีมงานวิจัยเขาก็มาดูต่อถึง ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้เวลาเหล่านั้น กับผลการดำเนินงานของบริษัท นะครับ 
 
สิ่งที่พบก็คือผู้บริหารที่ใช้เวลาในสถานที่ทำงาน (ไม่ได้ออกไปสร้างเครือข่ายหรือติดต่อลูกค้าภายนอก) เป็นจำนวนมาก จะมีประสิทธิภาพในการทำงานมากกว่าผู้ที่ใช้เวลาภายนอกองค์กร ซึ่งก็ชัดเจนนะครับว่าซีอีโอควรจะจัดสรรเวลาอยู่ภายในองค์กรมากกว่าภายนอก ทาง ผู้วิจัยยังพบต่อนะครับว่าทุก 1% ที่เพิ่มขึ้นในการทำงานในบริษัท จะนำไปสู่การเพิ่มผลิตภาพในการทำงานถึง 2.14%
 
นอกจากนี้ ยังพบความสัมพันธ์อย่างชัดเจนถึงเวลาที่ผู้บริหารสูงสุดใช้กับบุคลากรภายในองค์กร กับการเพิ่มผลิตภาพในการทำงาน ในขณะที่เวลาที่ผู้บริหารใช้กับบุคคลภายนอกไม่มีส่วนสัมพันธ์กับการเพิ่มผลิตภาพในการทำงานของบริษัท
 
ข้อมูลต่างๆ จากการวิจัยที่นำเสนอไปนั้นชี้ไปในทิศทางว่าการทำงานในบริษัทหรือการใช้เวลากับบุคลากรภายในบริษัทจะส่งผลต่อการเพิ่มผลิตภาพของบริษัทมากกว่า อย่างไรก็ดี มีข้อที่ต้องควรระวังกับข้อมูลเหล่านี้ด้วยเหมือนกันนะครับ เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างที่มีน้อย (เพียงแค่ 100 ตัวอย่าง) และเป็นการเก็บจากประเทศเดียว (อิตาลี) ท่านผู้อ่านลองดูว่าในประเทศไทย CEO เขาใช้เวลากันอย่างไรบ้างนะครับ
 

iCloud คืออะไร และ มีประโยชน์แก่ เรามากน้อยขนาดไหน ... มาทำความเข้าใจกัน...

iCloud เป็นบริการ Cloud ของ Apple ซึ่งเริ่มใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 June 2011 (วันนี้นั้นเอง) โดยจะเริ่มเปิดตัวในงาน Apple Worldwide Developers Conference 2011(WWDC 2011) โดยล่าสุด Apple ได้เป็นเจ้าของ Domainwww.icloud.com เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยซื้อต่อมาในราคา 4.5ล้านเหรียญสหรัฐ (ค่าจด Domain จริงๆในปัจจุบันอยู่ที่ 3-5 ร้อยบาทเท่านั้น) นอกจากนั้นยังได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงใหญ่ อย่าง Sony BMG, EMI, Universal และ Warner โดยที่ค่ายเพลงจะวางเพลงไว้ใน Cloud แล้วให้ผู้ใช้บริการจ่ายเงินเป็นรายปีแล้วสามารถเข้าไปฟังเพลงได้จากทุกที่ในโลกที่มีอินเตอร์เน็ต 

ดูเหมือนว่า iCloud ก็ไม่ต่างอะไรกับ Online   Storage จนกระทั้งมีบริการที่ชื่อว่า CloudMe (ตอนนี้ถ้าเข้าเวบwww.icloud.com ก็จะ redirect ไปที่ CloudMe) ซึ่งเจ้าตัวนี้หละครับที่จะทำให้ iCloud เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่ไม่ต้องแบกเพราะมันอยู่ใน Internet มาดูกันดีกว่าครับว่ามันทำอะไรได้บ้าง 
- หลังจาก login web www.icloud.com เราจะได้รูปข้างบนคือหน้าตาของคอมพิวเตอร์ในอากาศของเราครับ 

- สามารถลงโปรแกรมได้โดยลงผ่าน icon Marketplace ตอนนี้มีประมาณ 40+ apps 

- พื้นที่ให้ไปใช้งานเลยฟรีๆ 3GB (ซื้อเพิ่มได้) 

-Files ทั้งหมดสามารถตั้ง Auto Syn กับคอมที่บ้านเราได้ตามรูปด้านล่าง 

-สามารถดูรับและแต่งรูปได้แบบออนไลน์ 

-ฟังเพลงจัดอัลบั้มก็ง่ายดาย 

-จะ Chat ผ่าน MSN, ICQ, Google Talk, Yahoo ,AIM ก็ไม่มีปัญหา 

-สามารถแชร์ Calendar, Files,contact กับเพื่อนได้ 

-สามารถเข้าถึง Files ได้จากทุกที่ที่มีอินเตอร์เนท บนคอมพิวเตอร์ก็ได้บนมือถือก็ดี 


ตัวอย่างหน้าใช้งานสำหรับคอมพิวเตอร์







ตัวอย่างใน iPhone







Download ได้ฟรี ใน Appstore ครับ


http://itunes.apple.com/us/app/cloudme/id404450157?mt=8

Monday, June 6, 2011

อะไรคือ Trend THE F-FACTOR

"อะไรคือ Trend F-FACTOR" สิ่งที่นักการตลาดปัจจุบันต้องรู้และต้องรู้มากกว่าปัจจุบัน .... อ่านดูในหัวข้อเรื่อง F-Factor Discovery ครับ.....



trendwatching.com's May 2011 Trend Briefing covering THE F-FACTOR

"ดิจิทัล แพลตฟอร์ม แบรนดิ้ง โจทย์ใหม่ท้าทายนักการตลาดไทย"

นำมาให้อ่านกันครับ. สอดคล้องกับแผนงานของผม ที่พยายามปรับงานตลาดปัจจุบันที่เป็น Analog to Digital Content ทั้งหมดภายใน Q3 นี้ครับ.......


ช่วงเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มการตลาดที่ดีขึ้น ผู้บริโภคเริ่มจับจ่ายใช้สอย สินค้าใหม่ๆ เปิดตัวเข้ามาในตลาด และทำให้การค้าบ้านเรามีสีสัน

เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ดิฉันได้ไปร่วมบรรยายเกี่ยวกับการรีแบรนดิ้งในหัวข้อ "ดิจิทัล แพลตฟอร์ม แบรนดิ้ง" ร่วมกับหัวข้ออื่นๆ ในการสร้างแบรนด์ของนักการตลาดจากบริษัทชั้นนำต่างๆ เห็นว่าเนื้อหาที่ไปบรรยายนั้นมีประเด็นที่น่าสนใจเลยขอนำมาแบ่งปันกันค่ะช่วงเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มการตลาดที่ดีขึ้น ผู้บริโภคเริ่มจับจ่ายใช้สอย สินค้าใหม่ๆ เปิดตัวเข้ามาในตลาด และทำให้การค้าในบ้านเรามีสีสันและการแข่งขันที่น่าสนุก โดยเฉพาะเหล่ากลยุทธ์ออนไลน์ ที่มีออกมาจำนวนมาก 
 
สาเหตุที่ต้องทำแบรนดิ้งบนดิจิทัลแพลตฟอร์ม
 
นอกเหนือจากคุณสมบัติที่น่าสนุกของสื่อดิจิทัลในปัจจุบันแล้ว ยังมีเรื่องของคุ้มค่ามากกว่าสื่ออื่นๆ โดยเหตุผลที่แบรนด์ชั้นนำทั่วโลกหันมาลงทุนการใช้สื่อดิจิทัลสูงขึ้น เพราะมีตัวเลขสถิติที่น่าสนใจ แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมีแนวโน้ม หันมาใช้ช่องทางสื่อสารผ่านออนไลน์กันมากขึ้น 
 
ยิ่งเมื่อพิจารณาข้อมูลจากโซเชียลเน็ตเวิร์คชื่อดัง 3 รายนี้ ณ วันที่ 31 พ.ค.แล้ว พบว่า เฟซบุ๊ค มีสมาชิกทั่วโลกกว่า 687,000,000 คน (ไทย 9,819,300 คน) ทวิตเตอร์ มีสมาชิกทั่วโลก 200,000,000 คน วงสังคมวิชาชีพอย่างลิงด์อิน มีมากกว่า 100,000,000 คน ทำให้แบรนด์ทั้งหลายหันมาเปิดเกมรุกบนช่องทางสื่อสารออนไลน์ และออกแบบสร้างสื่อผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างความแตกต่างให้ผู้บริโภคจดจำและเกิดความประทับใจในตัวสินค้า
นิยามใหม่ของสนามแข่งการตลาดออนไลน์
 
จากเดิมที่มีเพียงเว็บไซต์องค์กร ที่เคยเป็นเสมือนโบรชัวร์ออนไลน์ มาสู่ยุคของการสร้างสรรค์สื่ออินเตอร์แอ็คทีฟที่มีสีสันมากขึ้น ผ่านแพลตฟอร์มรูปแบบต่างๆ อาทิเช่น แคมเปญไซต์ แอพพลิเคชั่น โซเชียลมีเดีย อีเมล ไปจนถึงเครื่องมือที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วทันใจ มือถือ แทบเล็ต ที่ติดตัวคนรุ่นใหม่ตลอดเวลา 
 
งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคไทยใช้สื่ออินเตอร์แอ็คทีฟ สนใจและเข้าร่วมกิจกรรมของดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งกันมากขึ้น ไม่ต่างกับการทำโรดโชว์ และไม่จำกัดอยู่ที่กลุ่มเด็กวัยรุ่นแล้ว แต่เด็กเล็กๆ ที่โตมาพร้อมคอมพิวเตอร์ คนทำงานไปจนผู้สูงอายุ ก็เป็นคนกลุ่มใหญ่ที่ให้ความสนใจกับสื่อออนไลน์เช่นกัน 
 
ดังนั้น นักการตลาดเองไม่ควรมองข้ามสนามแข่งขันนี้ และรีบเข้ามาจับจองพื้นที่ หรือสร้างโครงการที่ช่วยดึงความสนใจ เพื่อสร้างการรับรู้จดจำแบรนด์เป็นกลุ่มแรกๆ กันเสียก่อน
การเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับไอเดียและกลยุทธ์
 
ตัวช่วยที่นักการตลาดมองหา คือ ความชำนาญของการเชื่อมโยงเอาระบบเทคโนโลยีที่พัฒนาตลอดเวลา มาใช้งานร่วมกับการวางแผนกลยุทธ์ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งได้อย่างแยบยล และเมื่อใดก็ตามที่เรามีเนื้อหา เทคนิคการนำเสนอที่น่าสนใจ ความเชี่ยวชาญในการสร้าง Engagement และแผนการรองรับจากทุกแผนกในองค์กร เพื่อนำสิ่งที่ได้จากโลกออนไลน์นี้มาต่อยอดทางธุรกิจได้เหนือความคาดหมาย ไม่ว่าจะเป็น CRM, CSR, Marketing, Sales, Finance, HR เป็นต้น
ขอยกตัวอย่างของการแบรนดิ้งระดับโลก ให้ลองเข้าไปศึกษากันดูค่ะ
 www.ge.com/thegeshow สร้างแบรนด์ด้วยเนื้อหาดึงความสนใจของกลุ่มที่ชอบเทคโนโลยีปัจจุบัน ผ่านสื่อกราฟฟิกที่สวยงามและสะท้อนภาพของแบรนด์ มีข้อมูลสถิติและการนำเสนอที่ช่วยให้เกิดการบอกต่อได้ในวงกว้าง 
 
www.facebook/rihanna โดดเด่นด้วยการใช้ฐานแฟนพันธุ์แท้ของคนดังสู่แคมเปญสินค้าสกินแคร์คุณภาพในโอกาสฉลองครบรอบ 100 ปี นีเวีย ที่สื่อถึงคนจำนวนกว่า 35 ล้านคนทั่วโลกได้ในคราวเดียว และต่อยอดด้วยแบรนดิ้งแคมเปญของกลุ่มผู้บริโภคไทยให้ติดตามต่อผ่าน www.facebook.com/NIVEAThailand และ www.Niveaforlife.in.th
www.2originals.com เมื่อเจ้าแห่งการสร้างแบรนด์อย่างบีเอ็มดับเบิลยู นำเสนอแคมเปญออนไลน์ครั้งใดก็สร้างปรากฏการณ์ได้ทุกครั้ง ตัวอย่างนี้แสดงถึงพลังของสื่ออินเตอร์แอ็คทีฟที่ดึงดูดให้คนทั่วโลกเข้ามามีส่วนร่วมได้เป็นอย่างดีภายในเวลาอันสั้น 
 
แอพพลิเคชั่นในมือผู้บริโภค เป็นหนึ่งในแนวโน้มที่นักการตลาดและนักพัฒนาต่างเตรียมตัวปล่อยสู่ผู้บริโภค ไม่เว้นแม้แต่แบรนด์ชื่อดังระดับตำนานอย่าง หลุยส์ วิตตอง ที่กระโดดเข้ามาใช้สื่อออนไลน์นี้เช่นกัน ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะได้แบรนดิ้งแบรนด์สินค้าคุณภาพให้อยู่ในใจสาวกและดึงว่าที่ลูกค้ามาอยู่ในเครือข่ายได้อย่างง่ายดาย
 
ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของการสร้างแบรนด์บนโลกออนไลน์ ปัจจัยที่ช่วยนักการตลาดคัดสรรและวางแผนกลยุทธ์ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งได้อย่างเหมาะสม จนนำมาใช้งานจริงได้ตามเป้าหมายนั้น อยู่ที่ความเข้าใจและตีโจทย์เลือกใช้ดิจิทัล แพลตฟอร์ม ในการแบรนดิ้งต่อยอดได้ในทุกสื่อ จึงเป็นเกมใหม่ที่ท้าทายพวกเราอยู่

ชัยชนะที่ปลายจมูก

ชัยชนะที่ปลายจมูก

ชอบความคิด การบริหารงาน ของคุณตัน มานานมากแล้วครับ.....ไม่ต้องใช้ทฤษฏี ทางวิชาการอะไรที่ สวยหรู หรือ สร้าง Platform อะไร ที่ต้องอลังการมาก ๆ เพื่อนำเสนองาน แก่ทีมงานทุกคน...
มันแค่เอาเรื่องราว ชีวิต ประจำวัน ของเราทุกคน ที่เห็น สัมผัส มาเปลี่ยนเป็นวิธี การเข้าถึงใน Lifestyle ที่เป็นอยู่ .....บทความนี้ก้อเช่นกัน ... ครับ. สนุกกับคำว่า "ตลาดกลิ้ง" กันครับ.

Trip เดินทางสู่กระบี่ ที่ผ่านมา

ติดตามภาพถ่าย การเดินทาง Trip ล่าสุดที่ กระบี่ กันครับ.....ตอนนี้เริ่มเบื่อ กับ Social Network หันมาทำ Blog ส่วนตัวเพื่อ Share ให้เพื่อน พี่ น้อง และ คนสนิท เข้ามาอ่านเรื่องราวของครอบครัวเรา และ เรื่องทางด้านการตลาด การบริหาร และ เรื่องราว Up Date ทุก ๆ เรื่อง กัน...............






























ตามที่บอกกับทุก ๆ คนไว้ครับ.....หลังจากกลับมาจาก Trip กระบี่เมื่อไหร่ จะทยอย นำภาพที่ถ่ายมาลงไว้เรื่อย ๆ ครับ.....

Power of everything

สวัสดีครับ      ยอมรับว่าห่างหายไปจากการ ทำ Blog ตนเองกว่า 1 ปี ...... ไม่ได้หลงลืม หรือ ขาดความสนใจสำหรับการเขียน Blog หรือ หาข้อมูล ...