Wednesday, September 2, 2015

Power of everything

สวัสดีครับ


     ยอมรับว่าห่างหายไปจากการ ทำ Blog ตนเองกว่า 1 ปี ...... ไม่ได้หลงลืม หรือ ขาดความสนใจสำหรับการเขียน Blog หรือ หาข้อมูล ทางด้าน Sales & Marketing มาเล่า หรือ แบ่งปัน ต่อกัน

     ด้วยภาระกิจ ของตนเองทั้ง 2 ด้าน
1.  ด้านการงานประจำ : สำหรับงานการตลาด ในช่วงรอบ 1 ปีที่ผ่านมา นั้นยอมรับ ได้รับการเรียน รู้ใหม่ๆ จาก ช่องทางการจำหน่ายใน สินค้าตัวใหม่ , ศัพท์ ทางการค้า และ การขาย สำหรับตนเอง นั้น เพิ่มพูนขึ้น นอกจากการ มองภาพที่กว้าง แล้ว นั้น ยังมองได้ลึก ลงไปในแต่ละ Issues นั้นๆ  ........ ทางด้านการตลาด  สิ่งที่ได้เรียนรู้มากมายเลย คือ การสำรวจตลาด ทั้ง ตลาด Hyper Mart , CVS , Super Market , Local Supermarket  และ รวมถึง Wet Market หรือ ตลาดสด ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด  ซึ่งวิธีการเก็บข้อมูล ซึ่งต้องเก็บด้วยตนเอง  เพื่อทราบถึง Distribution Percentage ระหว่าง สินค้าที่เราดูแล กับ คู่แข่งทางการตลาด ทั้งระนาบเดียวกัน ระดับบน และ ระดับล่าง  ทำให้ผมมีความเข้าใจ เพื่อนำไป ประยุกต์ เป็นแผนงานที่ Keen มากยิ่งขึ้น ...... จึงเป็นที่มาที่เวลากว่า 80% ผมทุ่มให้กับ งานประจำทั้งหมด เพื่อการเรียนรู้งาน ขายและตลาด ได้มากยิ่งขึ้น กว่าการอ่านหนังสื่อ 5 - 10 เล่ม แต่เป็นประสบการณ์จริง จากการทำงาน หรือ ฝรั่งเรียนกว่า "Learning by Doing"  และ รวมถึง การได้แบ่งปันความรู้ เหล่านี้ ให้กับทีมงาน คนรุ่นใหม่ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา  ซึ่งทีมงาน เหล่านี้ ชื่นชอบและใส่ใจ สำหรับการแนะนำ หรือ ผมใช้คำว่า Coaching ให้กับเขาเหล่านี้ ........ และ ผม ได้เห็นการพัฒนา เปลียนแปลงของทีมงาน มีความเก่งยิ่งขึ้น , เข้าใจธุรกิจที่ตนเองรับผิดชอบ , มองได้กว้าง และ ลึกมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญกว่านั้น คือ  เขาเหล่านี้ ไม่ง่ายนักที่จะได้ การแบ่งประสบการณ์งาน จากการทำงาน จริง ที่ผมพยายามมอบให้กับพวกเขา ... แม้บางครั้ง ต้องยัดเยียดให้ก็ตาม :) 555+++  
     จนมาถึงการเปลี่ยนแปลงงาน อีกครั้งหนึ่ง ในช่วงปีที่ผ่านมา ในกลุ่มธุรกิจใหม่ ที่มีโอกาสได้รับผิดชอบ ดูแล และ เจาะตลาด Domestic ในประเทศให้กับ องค์กรที่ทำธุรกิจ ส่งออกอันดับ 1 ใน 3 ของธุรกิจกลุ่ม ส่งออกกุ้งแช่แข็ง ของประเทศไทย ...... มูลค่าการส่งออกว่า 7,000 ล้านบาท!!!!! แต่องค์กรที่ทำงานกันนั้น  เป็นปรากฏการณ์ใหม่ สำหรับผมเลยก็ว่าได้  ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูง ไล่ลงมาจนถึง พนักงานปฏิบัติการ  ดูแลเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันจริงๆ  ถ้อยทีถ้อยอาศัย อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ ทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกันอย่างชัดเจน แม้นว่า จะติดปัญหา แต่การจัดการกับเป็น พี่คุยกับน้อง น้องปรึกษาพี่  เพื่อนปรึกษาเพื่อน  ด้วยผลลัพธ์ที่ต้องการคือ เราจะแก้ปัญหานั้นๆ อย่างไร มากกว่า ที่จะหาว่า ใครผิดกับปัญหาเหล่านั้นที่เกิดขึ้น ......
     สำหรับผมเอง จำต้องปรับตัวอยู่ 2-3 เดือนเพื่อใหเข้าใจ ระบบการทำงาน และ การสื่อสาร การทำงานภายในองค์กร ที่แข็งแกร่ง  กับแผนงานที่นำเสนอ ซึ่งเป็นตลาดในประเทศที่ใหม่มาก กับ การทำงานภายในองค์กรนี้ ...... แต่ทุกๆฝ่าย ยินดีและพร้อม สนับสนุน เท่าที่จะทำให้ตลาดในประเทศนั้นเกิดขึ้นได้
     แผนงานขายและการตลาด: ที่นำเสนอ แบ่งออกเป็น 3 ช่วง  คือ  ช่วงเจาะและบุกเบิก , ช่วงดูแล , ช่วงรักษาและต่อยอด .... ผ่านมาแล้ว 1 ปี น่าแปลกใจเป็นอย่างมาก สำหรับช่องทางในประเทศ มีโอกาสกับ ช่องทางใหญ่ๆ ดังนี้
     1.  B2B : Trader & Distributor -> ช่องทางนี้ ใหญ่และมีประสิทธผลมาก  แต่ต้องหาให้ถูกที่ จะเป็นแหล่งการสั่งซื้อ และ สร้างรายได้หลักให้กับ ฝ่ายฯ ได้เป็นอย่างดี
     2.  HORECA: Chain Restaurant , Chain Hotel และ Catering  กลุ่มนี้และช่องทางนี้ มีการเปลี่ยนแปลงการจัดซื้อวัตถุดิบ บ่อยครั้งมากในแต่ละปี  ซึ่งจะแบ่งเป็น กลุ่มขนาดใหญ่ กลุ่มนี้ จะเป็นระบบการประมูล ปีต่อปี ....... กุล่มขนาดกลาง จะระบบการสั่งซื้อ เสนอราคา ไตรมาสละ 1 ครั้ง .... กลุ่มขนาดเล็ก จะสั่งซื้อและดูราคา แทบจะเป็นรายเดือน ...... ซึ่ง Brand Loyalty จะได้รับจาก กลุ่มขนาดใหญ่เป็นหลัก ที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง Supplier บ่อยครั้ง ... แต่ต้องทุ่มเท และ แลกมากับการ แข่งขันทางด้านราคา และ คุณภาพ เป็นหลัก
    3. MT: -> Modern Trade , Hyper Mart , CVS , Super Market , Food Service Center เป็นต้น ..... กลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ 2 ช่องทางใหญ่ๆ คือ 
        3.1  End-Users : คือกลุ่มร้านค้า และ ร้านอาหาร ขนาดกลาง ซื้อไปเพื่อประกอบธุกริจต่อ  กับ ซื้อไปเพื่อการจำหน่ายต่อ  และ แต่ละ ห้างฯ จะมีแผนกขายหลังร้าน เพื่อการติดต่อโดยตรง ทั้งการจัดซื้อ การขาย การขนส่ง ให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย กลุ่มนี้
      3.2  End-Consumers :  คือผู้บริโภคเช่นเรา ซื้อปลีกจำนวน/ครั้งไม่มาก  แต่จะมี ทั้งผู้บริโภค ที่สรรหา วัตถุดิบใหม่ และ ติดต่อตรงกับบริษัทฯ และ ผู้บริโภค เพื่อสรรหา ไปแนะนำ กลุ่มลูกค้าอื่นๆ ช่องทางอื่นๆ ต่อไป .........
     3.3  ข้อเสียเปรียบจากค้าขายผ่านช่องทางเหล่านี้  คือ  เรื่องผลประโยชน์ที่เรียกเก็บ ทั้งรายเดือน และ รายปี นั้น ค่อนข้างสูง หากบริษัทฯ ขนาดกลาง และ ขนาดเล็ก สินค้าไม่โดน ขายไม่ได้ นอกจากขาดทุน แล้ว เมื่อสินค้าถูกถอดออก อาจจะเป้นลูกหนี้ กับ ช่องทางเหล่านี้ได้เช่นกัน  ด้วยเงื่อนไขทางการค้าที่ กำหนดไว้ดังกล่าว ..... จึงเป็นที่ผ่านที่บริษัทฯ ต่างๆ ต้องพยายามบริหารต้นทุน สินค้า และ กำไร เพื่อรองรับเงื่อนไขทางการค้า เหล่านี้ รวมถึงการทำ Promotion ที่โดนใจผู้บริโภค หากราคาไม่ถูกหรือมีลดราคา สินค้าก็ไม่สามารถขายได้ เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ...... ดังนั้น เมื่อพยายามลดต้นทุนสินค้า คุณภาพสินค้าต้องแลกมาด้วย คุณภาพที่ต่ำลง ..... หากสินค้า เรา นั้นแตกต่าง และ โดดเด่น แล้วนั้น ช่องทางเหล่านี้ จะพยายามดึงเข้ามาจำหน่าย เพื่อสร้างจุดขาย และ ยอดขาย รวมถึงผลประโยชน์ต่างๆ .... แต่ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ในระยะสั่น และ ระยะยาวคือ  การทำ C&D ของช่องทางขายเหล่านี้ ที่พัฒนาและผลิตสินค้า ออกมาจำหน่ายในประเภทเดียวกัน และ คุณภาพใกล้เคียงกัน ในราคาที่ต่ำกว่า ถึง ต่ำกว่ามาก ..... เพราะเหตุผลใดหรือครับ?????  เนื่องจาก สินค้าที่ C&D เหล่านี้  ไม่มีค่าใช้จ่ายมากมาย เช่น เรื่องการบริหารกำไร-ขาดทุน , ค่าใช้จ่ายขนส่ง , ค่ากระจายสินค้า , ค่าบริหารพนักงาน , ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่มากเท่าคู่ค้า , ค่า GP ที่ไม่มากเท่าคู่ค้า เพียงเท่านี้ สินค้า House Brand เหล่านี้ ก็ สามารถสร้ายอดขายได้ดี กว่า สินค้าเช่นเรา  และ ง่ายมากเมื่อเสนอตัวเลขยอดการขาย Sell-In , Sell-Out แก่ฝ่ายบริหารภายในเพื่อ การถอดหรือยกเลิกสินค้า ของเราๆ ออกจากชั้นวาง และ จำหน่ายสินค้า House Brand ตนเองทดแทน (Product Replacement) 
     4. TT; -> Traditional Trade คือกลุ่มร้านค้า ยี่ปั๊ว , ซาปั๊ว ที่เรารู้จัก และรวมถึง กลุ่มผู้กระจายสินค้า ในรูปแบบค้าส่ง-ค้าปลีกขนาดใหญ่ ตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ  หมายรวมถึง ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่นเดียวกัน .... ซึ่ง ช่องทางนี้ หรือ กลุ่มนี้  เป็นช่องทางทีมี ศักยภาพ และ ประสิทธิผล เป็นอย่างมากในการสร้างรายได้ หลักเข้าแก่บริษัทฯ ต่างๆ ..... โดยที่บริษัทฯ ไม่ต้อง เสียค่าใช้จ่ายๆ ต่างๆ มากมายเท่ากับช่อง MT แม้นว่า จะต้องมีเสียค่าใช้จ่ายบ้าง นั้น ... แต่การเจรจาต่อรอง ระหว่างกัน ยังคงมีรูปแบบ เอื้ออาทร อลุ่มอล่วย Win-Win ซึ่งกันและกัน  .... ที่สำคัญ Credit Term นั้นสั่น ไม่ยาว ทำให้ระบบเงินหมุนเวียน ของบริษํทฯ ต่างๆ เป็นไปได้ด้วยดี .... จากการทำงานด้านการขาย และ การตลาดมา ทำให้ได้ทราบว่า  ช่องทาง TT นี้ ต้องการความใส่ใจ สนับสนุน จากบริษํทฯ คู่ค้า ค่อนข้างมากกว่านี้ เพื่อผลักดันยอดการขายแต่ละช่อง ได้อย่างดี และต่อเนื่อง  หากแต่ว่า ณ ปัจจุบัน บริษัทฯสินค้าต่างๆ ต้องรักษา กำไร-ขาดทุน ผ่านช่องทาง MT ค่อนข้างมาก และ มาบีบเอา Margin จากช่องทาง TT โดยซื้อสินค้าราคาที่สูงกว่า MT จนำให้ไม่สามารถแข่งขัน ทางด้านราคากับ ช่องทาง MT ได้ดี ..... จึงเห็นว่า ช่องทาง TT หรือ ที่เราเข้าใจว่า  โชว์ห่วย ล้มหายตายจาก ไปเยอะมาก เช่นกัน 

*ครั้งหน้า ผมจะอธิบาย แต่ละช่องทางให้ละเอียด มากยิ่งขึ้น โดยคัดออกมาเป็น 1 ช่องทางต่อ 1 บทความ สำหรับการค้า การขาย การตลาด สำหรับช่องทางเหล่านี้

2.  ด้านชีวิตหลังการทำงาน : ในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา  ผมใช้เวลาไปกับ เรือง Big Bike และ การทำรถยนต์ แต่ทุ่มไปกว่า Big Bike ค่อนข้างมาก ในเรื่อง การขับขี่ เป็นหลัก และ การตกแต่ง เพิ่มเติม เพื่อสร้างประสิทธิภาพการขับขี่  ยอมรับเป็นอย่างมากว่า สนุกและมีความสุขมากๆ ครับ ทุกครั้งได้ขี่ มันคือ สิ่งที่เด็กผู้ชาย ทุกคนต้องการ และ ใฝ่ฝัน ว่าสักครั้งต้องหามาเป็นเจ้าของ และ ขี่มันให้ได้ ....... จุดเริ่มต้น ของ ผมคือ การได้ทดลองขี่ เครื่องยนต์ขนาด 150 cc. เจ้า Stallion Centaur ด้วยรูปทรง Classic ตกแต่ง แนว Cafe' Racer ชอบมากที่ได้ทดลองขี่ และ ใช้งานระยะเวลาสั้นๆ เพียงแต่ว่า เจ้า Centaur ตัวนี้ เป็นรถที่คนไทยผลิต และ มีจุดอ่อน อยู่มากมาย เช่นระบบไฟ ไม่นิ่ง , ระบบเครื่องยนต์ ที่ตื้อๆตันๆ ระบบเบรคที่ไม่ดีพอ กับ มูลค่ารถที่อยู่ระหว่าง 45,000 - 55,000 บาท นั้น ..... ผมจำใจต้องยกเลิกรุ่นนี้ ไป ด้วยเหตุล เรื่องระบบไฟ  ฟิวส์ขาด 10 ครั้งในรอบ 2 สัปดาห์  ซึ่งแย่แน่ๆ หากใช้งาน กลางดึก แล้วเกิดปัญหาเช่นนี้ ......... สำหรับ คันที่คิดว่าตอบโจทย์ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นั้น คือ เจ้า ER6n เครื่องยนต์ 650 cc. ยอมรับว่าสนุกมาก กับการได้ควบเจ้าคันนี้ และ สนุกกับการตกแต่งให้มี พละกำลังเพิ่มเติม ไปพอสมควร  แต่การควบเจ้าคันนี้ ใช่ว่าจะง่าย ครับ   มีความยาก ในความเร็วของมันอยู่ คือ การเบรค และ การเข้าโค้ง ซึ่งรถคันใหญ่ มาด้วยความเร็ว  ทั้งการ เบรค และ การเข้าโค้ง ต้องทำเป็น และ รวดเร็ว  ผมจึงใช้เวลาในการฝึกฝน เรื่องการเบรค และ การเข้าโค้ง 1-2 เดือน  จากนั้น ออกทริป ครับ ไปกันกลุ่มใหญ่มาก กว่า 100 คัน  ซึ่งผมได้เรียนรู้จาก การออกทริปในเรื่อง สัญญาณมือ การเข้าโค้ง ของคนที่ขับเป็นแล้ว  แต่ละคนจะเข้า Line เดียวกัน ท่าทางเดียวกัน ไม่มีใครหลุดโค้ง เลย ..... สนุกครับกับเจ้า ER6n คันนี้ .... ใช้งานได้ ครึ่งปี ตัดใจปล่อยขายออกไป  ด้วยเรื่อง ระยะหลังๆ ได้ใช้งานน้อยมาก ใน 1 สัปดาห์ ใช้รถเพียง 1-2 วัน ขับใกล้ๆ บ้านเท่านั้น กับ ยอดการผ่อนต่อเดือน  จึงคิดว่าไม่คุ้มค่า การใช้งาน จึงขอปล่อยออกไปก่อน  แล้ว  ค่อยหาคันใหม่ ที่ไม่ใหญ่เกินไป และ ตอบโจทย์ การใช้งาน กับ บุคคลิค ของเราได้มากขึ้น .....
     ณ ตอนนี้ ได้เจ้า Freed มา จึงทำการตกแต่ง เข้าไปชุดใหญ่ ให้เจ้ารถครอบครัวคันนี้ เป็น ครอบครัวแบบ Racing นิดๆ ครับ ...... ทุกวันนี้ ใช้งาน Freedy นี่ คุ้มค่ามาก และ ขับสนุกขึ้นกว่าเดิม แบบรถครอบครัว เล็กๆ ครับ ^^' """"""""""

ครั้งต่อไป ผมจะ Update ในเรื่อง Sales and Distribution แต่ช่องทางให้ ละเอียดมากยิ่งขึ้น จากประสบการณ์ทำงาน จริงๆ ซึ่งมีเรื่องนอกตำรา เยอะเลยครับ ^^'  แล้ว พบกันครับ

สวัสดีครับ!!!

Power of everything

สวัสดีครับ      ยอมรับว่าห่างหายไปจากการ ทำ Blog ตนเองกว่า 1 ปี ...... ไม่ได้หลงลืม หรือ ขาดความสนใจสำหรับการเขียน Blog หรือ หาข้อมูล ...