Thursday, December 1, 2011

"แต่งตัวยังไงให้ดูสมาร์ท!" มาดูกัน

วันนี้ นำเรื่องเบาๆ มาเล่าสู่และ Share กันใน Blog ครับ.... สำหรับ หนุ่มเล็ก หนุ่มใหญ่ ที่ชื่อนชอบการแต่งตัว ด้วยการจับเสื้อผ้า Mix&Match ... หรือ ตามกระแส นั้น... เราควรต้องเลือกเสื้้อผ้า ในแต่ละ Pattern ให้เหมาะสมกับ รูปร่างเราๆ
แล้ว เราควรต้องเลือก เสื้อผ้ารูปแบบใดเพื่อให้เหมาะสมกับ รูปร่างเรา ลองหาคำตอบจากบทความนี้ ได้เลย ....


หนุ่มๆ คงแต่งตัวที่ความชอบกันเป็นหลัก ซึ่งแค่ความชอบก็ไม่ได้หมายความว่าจะเหมาะสมกับเรา อย่างเช่นหนุ่มที่มีรูปร่างเล็ก จะมาแต่งตามใจจนตัวเล็กหนักกว่าเก่าก็คงดูไม่ดี เลยมี เทคนิคของการแต่งตัวให้ดูรูปร่างสูงขึ้น หรือไม่ทำให้รูปร่างเล็กลงกว่าเดิม ด้วยการแต่งตัวเพื่อพรางรูปร่างจริงและเสริมด้วยการแต่งเพิ่มความสูงในแบบต่างๆ ไปอ่านกันเลย ..
     หนุ่มหลายคนใส่กางเกงเอวต่ำตามกระแส แต่สำหรับหนุุ่มรูปร่างเล็กกางเกงเอวต่ำทำให้ขาสั้นลงไปอีก ควรสวมกางเกงให้มีระดับเหนือสะโพกนิดหน่อย
     กางเกงขาสั้นเป็นอีกทางที่จะช่วยให้หนุ่มๆ ดูสูงขึ้น ปัจจุบันก็มีแฟชั่นขาสั้นออกมามากมาย ใส่ตามเทรนด์ไปเลย เท่ได้สูงด้วย
     กางเกงตั้งแต่สามส่วนขึ้นไป แต่ไม่ใช่กางเกงขายาว มองแล้วเหมือนทำให้ขาหนุ่มๆ สั้น ยิ่งเป็นกางเกงตัวใหญ่คลุมเข่ายิ่งไปกันใหญ่นะ
     ถ้าหนุ่มๆ ใส่กางเกงขายาว ควรใส่กางเกงที่มีความยาวขาพอดีกับขา(ตัดความยาวออก) ไม่ควรยาวปิดรองเท้าหรือลงมากองอยู่ข้างล่างจนหนาหลายชั้น
     กางเกงตั้งแต่ขาสามส่วนขึ้นไป แต่ไม่ใช่กางเกงขายาว มองแล้วทำให้ขาสั้นลง ยิ่งเป็นกางเกงตัวใหญ่คลุมเข่ายิ่งไปกันใหญ่นะ
     หนุ่มรูปร่างเล็กคงไม่เหมาะกับฮิพฮอพแล้วล่ะ กางเกงเอาต่ำก็ห้ามและยังห้ามเสื้อตัวใหญ่อีก เพราะเสื้อตัวใหญ่คลุมรูปร่างหนุ่มๆ ไปหมด ดูทั้งสั้นทั้งตันแถมขาก็หดลงอีกด้วยสิ
     การจะทำให้ดูสูงวิธีหนึ่งคือ การสวมเสื้อและกางเกงให้พอดีรูปร่าง เพื่อเน้นส่วนโค้งเว้าของร่างกายหนุ่มๆ การใส่อย่างนี้ทำให้คนอื่นมองว่ารูปร่างเราดูดีสมส่วนด้วย
     เสื้อคอวีจะทำคนอื่นมองว่าช่วงลำตัวดูสูงครับ แล้วไม่ควรเลือกเสื้อคอสูงหรือตั้งปกเสื้อขึ้น มันเป็นการทำให้คอหายไป ย่อพื้นที่ส่วนบนให้หดลงไปอีกนะ
     การใส่เสื้อเนื้อหนาเหมือนเป็นการเพิ่มเนื้อของหนุ่มๆ ให้ดูตัวตัน เปลี่ยนเป็นการสวมเสื้อผ้าเนื้อบาง เพิ่มความโปร่งให้กับรูปร่าง มองแล้วสบายตาไม่อึดอัด
    
     ผมยาวจะทำให้ช่วงคอหายไปเช่นกัน การตัดผมความยาวอย่างมากแค่ท้ายทอย ช่วยทำให้ไม่ไปลดความสูงอีกทางหนึ่ง
     เป็นอีกหนึ่งการแอบเพิ่มความสูง พื้นที่หมวกอย่างน้อยๆ ก็ทำให้สูงขึ้นจริงๆ นั่นล่ะ
     เนคไทเป็นอีกเครื่องประดับบุรุษเอาไว้พรางสายตา การผูกเนคไทจะเพิ่มความยาวของช่วงลำตัวและจะไม่ไปรบกวนทำให้ช่วงขาสั้นด้วย ต้องเลือกลายเนคไทให้เหมาะด้วยนะ
    
     ผู้หญิงมีรองเท้าส้นสูงเป็นตัวช่วย ส่วนหนุ่มๆ ก็มีรองเท้าส้นหนาสำหรับหนุ่มร่างเล็ก ในการช่วยเพิ่มความสูง ใส่ไปเลยครับอันนี้สูงของจริง
     หนุ่มรูปร่างเล็กอยากแต่งตัวให้ดูดี ต้องดูแลควบคุมรูปร่างอีกทางหนึ่งด้วย อย่างเช่น การปล่อยตัวจนให้อ้วนและออกกำลังกายจนร่างกายล่ำเกินไป สองอย่างนี้จะลดความสูงของหนุ่มไปในทันที

Wednesday, November 30, 2011

"ประวัติศาสตร์พม่าเปิดหน้าใหม่วันนี้"

เคยกล่าวไว้ครั้งนึงผ่าน Facebook/tonvichayen ว่าตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองพม่า ในช่วงปลายปีนี้ ... สำหรับการลงสมัครทางการเมืองครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี ของ นางออง ซาน ซูจี ในวันที่ 1 ธัวาคมนี้ ... และ วันนี้ได้อ่าน บทวิเคาระห์ ของคุณสุทธิชัย หยุ่น ยิ่งเป็นข้อมูลที่ดีเพื่อให้ได้รับรู้ ถึงการมาเยือนพม่าครั้งแรกในรอบ 50 ปีนี้เช่นกัน ... อ่านกันต่อได้เลยครับ....!!!


การเมืองพม่ากำลังจะพลิกบทประวัติศาสตร์อีกรอบวันนี้...เมื่อรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ฮิลลารี คลินตัน
  ไปเยือนอย่างเป็นทางการครั้งแรกใน 50 ปี เพื่อส่งสัญญาณว่าการปฏิรูปของเพื่อนบ้านเราทางตะวันตกได้ก้าวไปถึงจุดที่จะมีความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญยิ่ง

 ที่สำคัญจริงๆ ไม่ใช่เพราะ ฮิลลารี คลินตัน บินไปเมืองหลวงเนย์ปิดอว์วันนี้เพื่อยื่นมือจับกับประธานาธิบดีเต็ง เส่ง และบินต่อมาที่ย่างกุ้งเพื่อยืนเคียงคู่กับ ออง ซาน ซูจี, นักต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย, เท่านั้น หากแต่ที่เป็นหัวใจของการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ คือ การที่คนพม่าเองจะก้าวออกจากความมืดมนทางการเมืองยาวนานมาหลายสิบปีเพื่อใช้สิทธิทางการเมืองของตนได้กว้างขวางอย่างจริงจังเสียที

 การปฏิรูปทางการเมืองครั้งนี้จะกว้างขวางจริงจังแค่ไหนยังต้องวัดกันในทางปฏิบัติ แต่หากฟังออง ซาน ซูจี ที่เป็นคู่กรณีกับเผด็จการทหารพม่ามาตลอดแล้ว ก็ต้องเชื่อว่าอย่างน้อยแสงสว่างก็มีให้เห็นจากปลายถ้ำแล้ว
 และการตัดสินใจให้พรรค “สันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย” (National League for Democracy หรือ NLD) กลับไปจดทะเบียนอีกครั้ง และตัวเธอเองก็จะลงสมัครรับเลือกตั้งอีกรอบนั้น เป็นการบอกกล่าวที่ค่อนข้างชัดเจน ว่า อะไรๆ กำลังจะก้าวสู่ยุคใหม่ทางการเมืองของพม่าอย่างปฏิเสธไม่ได้

 การที่ประธานาธิบดี บารัก โอบามา ตัดสินใจส่ง ฮิลลารี คลินตัน ไปพม่านั้น ย่อมแปลว่า ได้วิเคราะห์สถานการณ์รอบด้านในพม่าแล้ว เห็นว่ามีความคืบหน้าเพียงพอที่วอชิงตันจะสามารถแสดงออกทางการทูตอย่างเปิดเผย เพื่อผลักดันให้ความเปลี่ยนแปลงนั้นเดินหน้าต่อไปอย่างเป็นรูปธรรม

 เห็นข่าวรัฐบาลกลางลงนามสงบศึกษากับกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธใกล้ชายแดนไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ย่อมตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรองดองแห่งชาติที่โยงใยไปถึงทุกส่วนที่มีความสำคัญต่ออนาคตของพม่าเอง

 ประเด็นหลักที่ฮิลลารี จะพูดคุยกับประธานาธิบดีเต็ง เส่ง และ ออง ซาน ซูจี ก็คงหนีไม่พ้น
 1. การปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมด
 2. การสงบศึกระหว่างรัฐบาลกลางกับชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่มอย่างถาวร
 3. ก้าวเดินสู่ประชาธิปไตยในรายละเอียด (เช่นจำนวนที่นั่งของกองทัพในสภาที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ)
 4. เสรีภาพของการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน
 5. สถานภาพของสิทธิมนุษยชนในพม่า
 6. ความสัมพันธ์ของพม่ากับเกาหลีเหนือ
 7. ความสัมพันธ์ของพม่ากับจีนและอินเดีย
 8. ปัญหายาเสพติดจากพม่า

 ที่น่าเป็นห่วง คือ ประโยคของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ที่พูดเมื่อเร็วๆ นี้ว่าเขาไม่เชื่อว่าพม่ามี“นักโทษแห่งมโนธรรม” (prisoners of conscience) อันหมายถึง นักโทษการเมืองที่รัฐบาลจับติดคุกเพียงเพราะเขามีความเห็นไม่ตรงกับผู้มีอำนาจทางการเมืองเท่านั้น

 บ่อยครั้งก็ยัดเยียดข้อหาอาญาเพื่อกลบเกลื่อนเป้าหมายที่แท้จริง หรือต้องการกำจัดคนที่มีความติดต่างไปจากตนเท่านั้น

 แนวคิดอย่างนี้เป็นของผู้นำทหารที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในอดีต แต่วันนี้วิธีคิดอย่างนี้ย่อมไม่สอดคล้องกับการขับเคลื่อนสู่ความเป็นประชาธิปไตยได้เลย

 ฮิลลารี จะประกาศยกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อพม่าช้าเร็วแค่ไหน ย่อมอยู่ที่ว่าการที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองชัดแจ้งแค่ไหน และประชาชนคนพม่าเองเชื่อแค่ไหนว่านี่คือของจริง หรือเพียงแค่ละครตบตาอีกรอบหนึ่งเท่านั้น

 ฮิลลารี บอกกับ Fox News ว่า “เรายังไม่ยกเลิกการคว่ำบาตร เรายังไม่เตรียมประกาศความเปลี่ยนแปลงในนโยบายของเราอย่างฉับพลันทันทีในขณะนี้ เราต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม และนั่นเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายของการไปเยือนพม่าของฉัน...”
 ทุกประโยคทุกลีลาของเต็ง เส่ง, ฮิลลารี, ออง ซาน ซูจี จะถูกวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแน่นอน

การเปลี่ยนผังเมือง หรือ ย้ายเมืองหลวง ใช่ทางแก้ปัญหาน้ำท่วม หรือไม่!

จากกรณี มหาอุทกภัย ปี 54 นี้, หลายฝ่าย ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับการย้ายเมืองหลวง , การจัดระเบียบผังเมืองหลวงใหม่  วันนี้ได้อ่านบทความใน หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เรื่องการร่างผังเมืองใหม่ หรือ การย้ายเมืองหลวงจกาทางนักวิชาการ ว่ามีความคิดเห็นเรื่องอย่างไร! อ่านกันได้เลยครับ.


นักประเมินชี้ร่างผังเมืองรวมกทม.อันตรายต่อการพัฒนาเมืองในอนาคต

ภาพเมืองในมุมสูง

ช่วงรอย ร่างผังเมืองรวมกทม.ฉบับใหม่ อยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไข รอประกาศใช้ในปี 2555 แต่หลายฝ่ายยังคงเห็นคัดค้านในหลายประเด็น
บ้านร้าว บ้านทรุด เอียง..ซ่อมได้ ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม คุมงานโดยวิศวกร รับประกันผลงานwww.dfinecon.com/024771944-5
รับสร้างบ้านลอยน้ำบ้านสวย มีสไตล์ ลอยน้ำได้ บริการรับสร้างทั่วประเทศ ปรึกษาฟรีwww.cmfloatinghomes.com
           ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้ดำเนินการเสวนาวิชาการเรื่อง “ราคาค่าก่อสร้าง อัตราผลตอบแทน ผังเมืองและราคาประเมินราชการ” เมื่อวันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2554 ในฐานะประธานกรรมการบริหาร มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย  และได้เชิญ ผศ.อัศวิน พิชญโยธิน วิเคราะห์ผังเมืองกรุงเทพมหานคร จึงได้สรุปข้อคิดเกี่ยวกับร่างผังเมืองกรุงเทพมหานครฉบับนี้ ซึ่งมีข้อจำกัดอย่างมากในการพัฒนาพื้นที่ในอนาคต
            ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2549-2554 ได้หมดอายุลงในวันที่ 17 พฤษภาคม 2554 และได้รับการต่ออายุ 1 ปีเนื่องจากกรุงเทพมหานครยังแก้ไขฉบับใหม่ไม่แล้วเสร็จ  แต่ร่างผังเมืองฉบับนี้ได้สร้างข้อจำกัดในการก่อสร้างอาคารมากมาย ซึ่งหากประกาศใช้จริง ผู้เสียผลประโยชน์ก็คือเจ้าของที่ดินในบริเวณต่าง ๆ นักลงทุน และที่สำคัญที่สุด คือประชาชนทั่วไปที่ไม่อาจมีที่อยู่อาศัยใกล้เขตเมือง ทำให้คนกรุงเทพมหานคร ต้องออกไปอยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการสร้างปัญหาให้กับการขยายเมืองออกสู่ชนบท ทำลายพื้นที่สีเขียว
            ประเด็นสำคัญที่เจ้าของที่ดินและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไม่ทราบในร่างผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครฉบับใหม่นี้ก็คือ ในพื้นที่อยู่อาศัย ย1 (ตลิ่งชัน ทวีวัฒนา และบางแคบางส่วน) และ ย2 (สายไหม คลองสามวาบางส่วน มีนบุรีบางส่วน สะพานสูงบางส่วน และหนองจอกบางส่วน) ปัจจุบันกำหนดให้สร้างที่อยู้อาศัยสูงไม่เกิน 23 เมตร แต่ในร่างใหม่กำหนดให้สร้างไม่เกิน 12 เมตร  ส่วนในพื้นที่ที่อยู่อาศัยเขตต่อเมือง (Intermediate Area) หรือ ย3 ต่อไปห้ามสร้างอาคารที่อยู่อาศัยทีมีพื้นที่เกินกว่า 2,000 ตารางเมตร  ส่วนในพื้นที่ ย4 (วังทองหลาง ลาดพร้าว บึงกุ่ม บางเขนและบางเขตอื่น) ในร่างผังเมืองกำหนดให้การก่อสร้างอาคารขนาด 2,000-4,999 ตารางเมตรเมตร ต้องตั้งอยู่บนถนนที่มีเขตทางเกินกว่า 16 เมตร ทั้งที่ปัจจุบันกำหนดไว้เพียง 10 เมตร  อาคารขนาดใหญ่กว่านี้ห้ามสร้างไปเลย
            เจ้าของที่ดินในพื้นที่สีส้ม (ย5 และ ย6) อาจไม่ทราบว่า โดยที่พื้นที่นี้อยู่ใกล้เขตใจกลางเมือง เป็นที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง แต่เดิมในผังเมืองกำหนดให้สามารถสร้างอาคารได้ 5,000 - 9,999 ตารางเมตรได้ บนที่ดินที่อยู่ติดถนนที่มีความกว้างเพียง 6 เมตร  ส่วนอาคารเกินกว่า 10,000 ตารางเมตรจะไม่สามารถสร้างได้เลยในพื้นที่ ย.5 ทั้งที่แต่เดิมสร้างได้หากตั้งอยู่บนถนนที่กว้างเกิน 30 เมตร  ยิ่งกว่านั้นในเขตที่อยู่อาศัยหนาแน่นมากใจกลางเมือง (ย8 ย9 และ ย10) ร่างผังเมืองรวมกำหนดไว้ว่า ถ้าจะสร้างอาคารเกิน 10,000 ตารางเมตรได้ต้องอยู่บนถนนซอยที่มีความกว้างเกิน 16 เมตร ทั้งที่ในปัจจุบันกำหนดให้สร้างได้หากที่ดินแปลงนั้นติดถนนที่มีความกว้างเพียง 6 เมตรเท่านั้น
            ในร่างผังเมืองนี้และผังเมืองปัจจุบันแม้มีการกำหนดให้เพิ่มพื้นที่ก่อสร้างได้ไม่เกิน 20% ถ้ามีการจัดที่จอดรถให้สาธารณชนจอดฟรี หรือมีที่โล่งให้สาธารณชนได้ใช้ประโยชน์ แต่การกำหนดเช่นนี้ ก็เป็นเพียงในเชิงทฤษฎี ในทางปฏิบัติตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ไม่มีผลในทางปฏิบัติ ทั้งนี้คงเป็นเพราะยากต่อการปฏิบัติจริง  อัตราส่วนสัดส่วนพื้นที่ก่อสร้างต่อพื้นที่ดิน เช่น สร้างได้ 4:1 ของขนาดที่ดิน ควรเพิ่มให้เป็น 6:1 หรือ 8:1 เพื่อให้เมืองมีการพัฒนาในแนวสูง แทนที่จะไล่ให้การพัฒนาอออกนอกเมืองซึ่งสวนทางกับความเป็นจริง ทำให้พื้นที่เกษตรกรรมนอกเมืองได้รับการบุกรุกเพิ่มขึ้น
            ดังนั้นหากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไม่ได้มีโอกาสศึกษาผังเมืองให้ดี และผังเมืองนี้ประกาศใช้ ก็แทบจะคล้ายกับว่าใจกลางเมือง แทบจะสร้างอะไรไม่ได้เลย และการพัฒนาจะต้องออกไปสู่นอกเมือง ทำให้การจราจรติดขัดมากยิ่งขึ้นเพราะแทนที่จะส่งเสริมให้ประชาชนอยู่ในเมือง เพื่อที่สาธารณูปโภคจะใม่ขยายตัวเกินขอบเขต ก็จะกลับทำให้เมืองขยายไปอย่างไม่สิ้นสุด
            ที่สำคัญผังเมืองนี้ยั้งไม่ได้มีการวางแผนที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วม การสร้างเขื่อนกันน้ำท่วม การสร้างพื้นที่น้ำหลาก การสร้างแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่ การขยายคูคลอง ฯลฯ ซึ่งต้องอาศัยการเวนคืนอีกเป็นอย่างมาก  นอกจากนั้นผังเมืองนี้ยังไม่ได้สอดคล้องกับแผนการพัฒนาสาธารณูปโภคของกิจการไฟฟ้า ประปา ทางด่วน ระบบขนส่งมวลชน ระบบรถโดยสารประจำทาง เป็นต้น  และที่สำคัญที่สุดร่างผังเมืองกรุงเทพมหานครและผังเมืองปริมณฑลก็ไม่ได้สอดคล้องต้องกันเลย  ดังนั้นรัฐบาลและกรุงเทพมหานครจึงควรร่วมกันวางผังเมืองใหม่ให้เหมาะสมกว่าที่กำลังร่างโดยกรุงเทพมหานครฝ่ายเดียว

Power of everything

สวัสดีครับ      ยอมรับว่าห่างหายไปจากการ ทำ Blog ตนเองกว่า 1 ปี ...... ไม่ได้หลงลืม หรือ ขาดความสนใจสำหรับการเขียน Blog หรือ หาข้อมูล ...