Saturday, December 17, 2011

Trendwatching 2012 : อะไรเป็น Consumer Trend อ่านจากบรรทัดล่างนี้ได้เลย ครับ.


12 CRUCIAL CONSUMER TRENDS FOR 2012


English not your preferred language? Read this Trend Briefing in:
 Français    中文    Nederlands    Türkçe  
 Español    Português    Deutsch    한국어

Introduction | In 2012, much as in previous years, some brands may be staring into the abyss, while others will do exuberantly well. And while we can’t offer any help to defaulting nations or bankrupt companies, we do believe that there are more opportunities than ever for creative brands and entrepreneurs to deliver on changing consumer needs. From Canada to Korea. Hence this overview of 12 must-know consumer trends (in random order) for you to run with in the next 12 months. Onwards and upwards:

1.

In 2012, department stores, airlines, hotels, theme parks, museums, if not entire cities and nations around the world will roll out the red carpet for the new emperors, showering Chinese visitors and customers with tailored services and perks, and in general, lavish attention and respect.
Read RED CARPET in full (including examples from Hilton, Starwood and Harrods)

2. DIY HEALTH

Expect to see consumers take advantage of new technologies and apps to discreetly and continuously track, manage and be alerted to, any changes in their personal health.
Read DIY HEALTH in full (including examples from Jawbone, Ford and Lifelens)

3. DEALER-CHIC

In 2012, not only will consumers continue to hunt for deals and discounts, but they will do so with relish if not pride. Deals are now about more than just saving money: it’s the thrill, the pursuit, the control, and the perceived smartness, and thus a source of status too.
Read DEALER-CHIC in full (including examples from American Express, Nokitum and Daitan)

4. ECO-CYCOLOGY

Brands will increasingly take back all of their products for recycling (sometimes forced by new legislation), andrecycle them responsibly and innovatively.
Read ECO-CYCOLOGY in full (including examples from Dell, Nike and Garnier)

5. CASH-LESS
 

Will coins and notes completely disappear in 2012? No. But a cashless future is (finally) upon us, as major players such as MasterCard and Google work to build a whole new eco-system of payments, rewards and offers around new mobile technologies.
Read CASH-LESS in full (including examples from Google, PayPal and Square)

6. BOTTOM OF THE URBAN PYRAMID

The majority of consumers live in cities, yet in much of the world city life is chaotic, cramped and often none too pleasant. However at the same time, the creativity and vibrancy of these aspiring consumers, means that the global opportunities for brands which cater to the hundreds of millions of lower-income CITYSUMERS are unprecedented.
Read BOUP in full (including examples from PepsiCo, NCR and Aakash)

7. IDLE SOURCING

Anything that makes it downright simple- if not completely effortless- for consumers to contribute to something will be more popular than ever in 2012. Unlocked by the spread of ever smarter sensors in mobile phones, people will not only be able but increasingly willing, to broadcast information about where and what they are doing, to help improve products and services.
Read IDLE SOURCING in full (including examples from Street Bump and Waze)

8. FLAWSOME

Why to consumers, brands that behave more humanly, including exposing their flaws, will be awesome.
Read FLAWSOME in fullhere.

9. SCREEN CULTURE

Thanks to the continued explosion of touchscreen smartphones, tablets, and the 'cloud', 2012 will see a SCREEN CULTURE that is not only more pervasive, but more personal, more immersive and more interactive than ever.
Read SCREEN CULTURE in full (including examples from Sky, 8ta and Huawei)

10. RECOMMERCE
 

It’s never been easier for savvy consumers to resell or trade in past purchases, and unlock the value in their current possessions. In 2012, ‘trading in’ is the new buying.
Read RECOMMERCE in full (including examples from Decathlon, Amazon and Levi’s)

11. EMERGING MATURIALISM

While cultural differences will continue to shape consumer desires, middle-class and/or younger consumers in almost every market will embrace brands that push the boundaries. Expect frank, risqué or non-corporate products, services and campaigns from emerging markets to be on the rise in 2012.
Read EMERGING MATURIALISM in full(including examples from Diesel, Johnson & Johnson and Sanitol)

12. POINT & KNOW
 

Consumers are used to being able to find out just about anything that’s online or text-based, but 2012 will see instant visual information gratification brought into the real and visual world with objects and even people.
Read POINT & KNOW in full (including examples from Starbucks, eBay and Amazon)

Wednesday, December 14, 2011

แบบทดสอบ : จิตใจและตัวตน ของคุณเอง...!

เพื่อทุกคนที่เข้ามาอ่าน Blog นี้ .... ลองทดสอบกับ ตัวคุณเอง ว่า จิตใจที่แท้จริงและตัวตนที่แท้จริง เป็นอย่างที่ท่าน ดาไล ลามะ ว่าไว้มั้ย ...


TIBETAN PERSONALITY
TEST


ให้เวลากับแบบทดสอบ

แล้วคุณจะอึ่ง… กิมกี่


ดาไล ลามะแนะนา

ให้อ่านเผื่อจะใช้ได้กับตัวคุณ

น่าสนใจมาก


4 คาถามเท่านั้น

…แล้วคาตอบจะทาให้คุณฉงน


ซื่อสัตย์และไม่โกงแอบดูคาตอบ

ทาใจให้เหมือนร่มชูชีพ ยามกางออก

ทาใจให้ร่าเริง เกาะติดกับคาแนะนาอย่างใกล้ชิด

และ… อย่าทุจริต

คาเตือน ! !


อธิษฐานด้วยนะ

ก่อนเริ่มทาแบบทดสอบ!


ตอบคาถามไปเรื่อยๆ

มีคาถามเพียง 4 ข้อและ

ถ้าคุณแอบเห็นคาถามทั้งหมดก่อนทาจนจบทุกข้อ

คุณจะไม่ได้รับคาตอบที่ถูกต้อง

คาเตือน !


ขณะที่เลื่อนลงไปอย่างช้าๆ

โปรดตอบโจทย์แต่ละข้อให้เสร็จเรียบร้อย


ห้ามเงยหน้า

เตรียมดินสอและกระดาษให้พร้อม


นี่คือแบบสอบถามที่ตรงไปตรงมา

ที่จะบอกถึงตัวตนที่แท้จริงของคุณ

คาถามแต่ละข้อ ให้ตอบคาถามที่คิดว่าดีที่สุด

จาไว้ว่า ไม่มีใครเห็น ยกเว้นคุณเท่านั้น


(1) ให้เรียงลาดับสัตว์ข้างล่างนี้ตามที่คุณชอบ :

แม่วัว, เสือ, แกะ, ม้า, หมู


(2) ให้เขียนเพียง 1 คาที่จะบอกถึงสัตว์แต่ละตัวชนิดต่อไปนี้ :

สุนัข, แมว, หนู, กาแฟ, ทะเล


(3) คิดถึงคนที่รู้จักคุณ ที่มีความสาคัญกับคุณ และโยงความสัมพันธ์คน
เหล่านี้กับสีต่อไปนี้ โดยไม่เลือกสีซ้า และ 1 คนต่อ 1 สีเท่านั้น :

เหลือง, ส้ม, แดง, ขาว, เขียว


(4) ให้เขียนตัวเลขที่คุณชื่นชอบและวันในสัปดาห์ที่คุณชอบ


คุณต้องมั่นใจว่าคาตอบนั้น

มาจากใจจริงๆ

เสร็จแล้วรึ?


พร้อมรึยังที่จะ… ดูคาอธิบายข้างล่าง:

…ยังก่อน…. กรุณา

อธิษฐานซ้าด้วยนะ


ANSWERS:


ต่อไปนี้คือลาดับความสาคัญในชีวิตของคุณ

แม่วัว หมายถึง อาชีพการงาน

เสือ หมายถึง ความภาคภูมิใจ

แกะ หมายถึง ความรัก

ม้า หมายถึง ครอบครัว

หมูหมายถึง ทรัพย์สิน เงินทอง

(1)


เขียนถึง …

 สุนัข บ่งถึง บุคลิกภาพของคุณ

 แมว บ่งถึง บุคลิกภาพของคู่ชีวิตคุณ

 หนู บ่งถึง บุคลิกภาพของศัตรู

 กาแฟ บ่งถึง ชีวิตรักของคุณ

 ทะเล บ่งถึง ชีวิตของคุณเอง

(2)


สีเหลือง : คุณที่คุณจะไม่ลืม

สีส้ม : คนที่คุณคิดว่าเป็นมิตรแท้

สีแดง : คนที่คุณรักจริง

สีขาว : คนที่เป็นคู่รักของคุณ

สีเขียว : คุณที่คุณจะจดจาตลอดชีวิต

(3)


ส่งข้อความนี้ไปยังบุคคลอื่นให้มากที่สุด เท่ากับตัวเลขที่คุณชื่นชอบ

แล้วคาอธิษฐานจะเป็นจริง เพราะนี่คือสิ่งที่ ดาไล ลามะเคยกล่าวไว้

เกี่ยวกับ “สหัสวรรษ” ใช้เวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น ที่จะมอง อ่าน และคิด

(4)


อย่าทิ้งข้อความนี้ เพราะเวทย์มนต์จะออกมาจากมือคุณในอีก 96 ชั่วโมง

คุณจะแปลกใจแกมปิติ


เป็นเรื่องจริง ถึงแม้ว่าคุณไม่ใช่คนเชื่อโชคราง โปรดทาสิ่งต่อไปนี้ …

… ส่ง อีเมล์MANTRA ให้ได้อย่างน้อย 5 คน แล้วชีวิตคุณจะดี
ขึ้น…


ส่งไป …

0-4 คน : ชีวิตดีขึ้นเล็กน้อย

5-9 คน : ชีวิตดีขึ้นตามใจปรารถนา

9-14 คน : คุณจะพบกับความประหลาดใจ 5 ประการใน 3 สัปดาห์

15 คนหรือมากกว่า : ชีวิตจะดีขึ้นมากๆ และทุกสิ่งที่อธิษฐานจะเป็นจริง


Six Thinking Hats : Article นำมา Share ให้อ่านกันครับ.



บทนำ
                เนื่องจากในสังคมปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ทำให้คนเราต้องดิ้นต่อสู้กันทำให้ทุกคนล้วนมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากเราไม่มีการจัดการระบบความคิด การตัดสินใจต่างๆอาจไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการจัดการความคิดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และมีความจำเป็นต่อคนเราเป็นอย่างมาก
                ดร.เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน จึงได้ให้เทคนิค Six thinking hats เพื่อช่วยจัดระเบียบการคิด ทำให้การคิดมีประสิทธิภาพมากขึ้น และในปัจจุบันวิธีการดังกล่าวได้มีการนำไปใช้อย่างกว้างขวาง โดยหมวกแต่ละใบเป็นการนำเสนอทางเลือกที่เป็นไปได้ตามมุมมองต่างๆ ของปัญหา โดยวิธีการสวมหมวกทีละใบในแต่ละครั้ง เพื่อพลังของการคิดจะได้มุ่งเน้นไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเป็นการเฉพาะ ซึ่งจะทำให้ความเห็นและความคิดสามารถแสดงออกได้อย่างอิสระ สามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นได้ และยังเป็นการดึงเอาศักยภาพของแต่ละคนมาใช้โดยที่ไม่รู้ตัว

Six thinking hats คืออะไร
                Six thinking hats คือ เทคนิคการคิดอย่างมีระบบ คิดอย่างมีโฟกัส มีการจำแนกความคิดออกเป็นด้านๆ และคิดอย่างมีคุณภาพ เพื่อช่วยจัดระเบียบการคิด ทำให้การคิดมีประสิทธิภาพมากขึ้น แนวคิดหลัก การคิด เป็นทักษะช่วยดึงเอาความรู้และประสบการณ์ของผู้คิดมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ทักษะความคิดจึงมีความสำคัญที่สุด
                ดร. Edward de Bono (เอดเวิร์ด เดอ โบโน) ได้ทำการคิดค้นเทคนิคการคิด six thinking hats ขึ้นมาเพื่อเป็นระบบความคิดที่ทำ ให้ผู้เรียนมีหลักในการจำแนกความคิดออกเป็น 6 ด้าน ทำให้สามารถแก้ปัญหาและตัดสินใจด้วยการคิดทีละด้านอย่างเป็นระบบ เป็นการเพิ่มศักยภาพให้ทักษะการคิด ทำให้ไม่คิดกระโดดไปกระโดดมา หรือคิดพร้อมกันทุกอย่างในเวลาเดียวกัน ซึ่งทำให้สับสนใช้เวลานาน และสรุปไม่ได้

องค์ประกอบของ Six Thinking Hats
            Six Thinking Hats จะประกอบด้วยหมวก 6 ใบ 6 สี คือ
1.              White Hat หรือ หมวกสีขาว หมายถึง  ข้อมูลเบื้องต้นของสิ่งนั้น เป็นความคิดแบบไม่ใช้อารมณ์ และมีเป้าประสงค์ที่ชัดเจน แน่นอน ตรงไปตรงมา ไม่ต้องการความคิดเห็น สีขาวเป็นสีที่ชี้ให้เห็นถึงความเป็นกลาง จึงเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง จำนวนตัวเลข เมื่อสวมหมวกสีนี้ หมายความว่าที่ประชุมต้องการข้อเท็จจริงเท่านั้น  โดยปกติแล้วเรามักจะ ใช้หมวกขาวตอนเริ่มต้นของกระบวนการคิดเพื่อเป็นพื้นฐานของความคิดที่กำลังจะเกิดขึ้นแต่เราก็ใช้หมวกขาวในตอนท้ายของกระบวนการได้เหมือนกัน เพื่อทำการประเมิน อย่างเช่นข้อเสนอโครงการต่างๆของเราเหมาะสมกับข้อมูลที่มีอยู่หรือไม่
2.               Red Hat  หรือ หมวกสีแดง หมายถึง ความรู้สึก สัญชาตญาณ และลางสังหรณ์ เมื่อสวมหมวกสีนี้ เราสามารถบอกความรู้สึกของตนเองว่าชอบ ไม่ชอบ ดี ไม่ดี มีการใช้อารมณ์ ความคิดเชิงอารมณ์ซึ่งส่วนใหญ่การแสดงอารมณ์จะไม่มีเหตุผลประกอบ หรือการตระหนักรู้โดยฉับพลันซึ่งก็คือ เรื่องบางเรื่องที่เคยเข้าใจในแบบหนึ่ง อยู่ๆก็เกิดเข้าใจในอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งการตระหนักรู้แบบนี้จะทำให้เกิดงานสร้างสรรค์ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ หรือวิธีคิดทางคณิตศาสตร์แบบก้าวกระโดด ความคิดความเข้าใจในสถานการณ์โดยทันที ซึ่งเป็นผลจากการใคร่ครวญอันซับซ้อนที่มีพื้นฐานจากประสบการณ์ เป็นการตัดสินที่ไม่อาจให้รายละเอียดหรืออธิบายได้ด้วยคำพูด เช่นเวลาที่คุณจำเพื่อนคนหนึ่งได้ คุณก็จำได้ในทันที
3.              Black Hat หรือ หมวกสีดำ หมายถึง ข้อควรคำนึงถึง สิ่งที่ทำให้เราเห็นว่า เราไม่ควรทำ  เป็นการคิดในเชิงระมัดระวัง หมวกสีดำ เป็นหมวกคิดที่เป็นธรรมชาติและสอดคล้องกับวิธีการคิดของตะวันตกมาก หมวกสีดำช่วยชี้ให้เราเห็นว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดไม่สอดคล้องและสิ่งใดใช้ไม่ได้ มันช่วยปกป้องเราจากการเสียเงินและพลังงาน ช่วยป้องกันไม่ให้เราทำอะไรอย่างโง่เขลาเบาปัญญา และผิดกฎหมาย หมวกสีดำ เป็นหมวกคิดที่มีเหตุมีผลเสมอ เพราะในการวิพากษ์วิจารณ์  หรือวิเคราะห์สิ่งใดจะต้องมีการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลรองรับ ไม่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้อง ในการประเมินสถานการณ์ในอนาคตของเรานั้น ต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของเราเองและของผู้อื่นด้วย
4.               Yellow Hat หรือ หมวกสีเหลือง หมายถึง การคาดการณ์ในทางบวก ความคิดเชิงบวก เป็นการมองโลกในแง่ดี การมองที่เป็นประโยชน์  เป็นการคิดที่ก่อให้เกิดผล หรือทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นได้  การคิดเชิงบวกเป็นการเปิดโอกาสให้พัฒนาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ความคิดเชิงลบอาจป้องกันเราจากความผิดพลาด ความเสี่ยง และอันตรายที่อาจเกิดขึ้น  ดังนั้นการคิดเชิงบวกต้องผสมผสานความสงสัยใคร่รู้ ความสุข ความต้องการ และความกระหายที่จะทำสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นหรือไม่
5.               Green Hat หรือ หมวกสีเขียว หมายถึง ความคิดนอกกรอบที่มีความสัมพันธ์กับความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงแนวคิดและมุมมองซึ่งปกติมักถูกกำหนดจากระบบความคิดของประสบการณ์ดั้งเดิม และความคิดนอกกรอบนั้นจะอาศัยข้อมูลจากระบบของตัวเราเอง โดยเมื่อสวมหมวกสีนี้ จะแสดงความคิดใหม่ๆ เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น การคิดอย่างสร้างสรรค์
6.               Blue Hat หรือ หมวกสีน้ำเงิน หมายถึง การควบคุม และการบริหารกระบวน การคิด เพื่อให้เกิดความชัดเจนในเรื่องของความคิดรวบยอด ข้อสรุป การยุติข้อขัดแย้ง การมองเห็นภาพและการดำเนินการที่มีขั้นตอนเป็นระบบ เมื่อมีการใช้หมวกน้ำเงิน หมายถึง ต้องการให้มีการควบคุมสิ่งต่างๆ ให้อยู่ในระบบระเบียบที่ดี และถูกต้องหมวกสีน้ำเงินมักเป็นบทบาทของหัวหน้า ทำหน้าที่ควบคุมบทบาทของสมาชิก ควบคุมการดำเนินการประชุม การอภิปราย การทำงาน ควบคุมการใช้กระบวนการคิด การสรุปผล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ อย่างไรก็ตามสมาชิก ก็สามารถ สวมหมวกน้ำเงิน ควบคุมบทบาทของหัวหน้าได้เช่นกัน ตัวอย่างคำถามที่ผู้สวมหมวกน้ำเงินสามารถนำไปใช้ได้ ได้แก่ เรื่องนี้ต้องการคิดแบบไหน ขั้นตอนของ เรื่องนี้คืออะไร เรื่องนี้จะสรุปอย่างไร ขอบเขตของปัญหาคืออะไร ขอให้คิดว่าเราต้องการอะไร และให้เกิดผลอย่างไร เรากำลังอยู่ในประเด็นที่กำหนดหรือไม่ เป็นต้น ผู้สวมหมวกน้ำเงินเปรียบเสมือนผู้ควบคุมวงดนตรีที่จะทำให้ผู้เล่นดนตรีแต่ละชิ้นบรรเลงสอดประสานกันได้อย่างไพเราะ ดังนั้น การควบคุมการคิดจึงต้อง เลือกใช้วิธีคิดของหมวกแต่ละใบอย่างเหมาะสม
กระบวนการคิดของ Six Thinking Hats
                กระบวนการคิดของ Six Thinking Hats นั้นไม่มีรูปแบบตายตัว แต่จะทำการคิดโดยการสวมหมวกทีละใบ ซึ่งเอดเวิร์ด เดอ โบโน ไม่ได้กำหนดว่าควรจะสวมหมวกสีอะไรก่อนหลังเช่น เริ่มจากหมวกสีน้ำเงิน คือ สิ่งที่เราประสบอยู่ แล้วก็ไปค้นหาวิธีแก้ปัญหานั้นๆ ว่าจะมีทางออกอย่างไรบ้าง จากนั้นจึงมาตรวจสอบกับหมวกสีเหลืองว่า ถ้าทำอย่างนั้นจะมีประโยชน์อะไรบ้าง ตรวจสอบกับหมวกสีดำว่าจะมีปัญหา อุปสรรคอะไรไหม แล้วนำเอาหมวกสีเขียวมาแก้หมวกสีดำอีกที ตรวจสอบกับหมวกสีแดงว่าถูกใจทุกคนหรือไม่ ถ้าไม่ก็หาหมวกสีเขียวมาแก้อีกครั้งหนึ่ง แล้วถึงขั้นตอนสรุป คือหมวกสีน้ำเงิน ไม่จำเป็นต้องใช้หมวกทุกสี
                ดังนั้น Six Thinking Hatsจึงเหมาะสมกับการประชุมเพื่อทำการแก้ปัญหาตัดสินใจต่างในองค์กรได้อย่างดี และมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของการใช้ Six Thinking Hats
1.              เนื่องจากกระบวนการคิดแบบ Six Thinking Hats เป็นการเริ่มคิดในสิ่งเดียวกัน และคิดร่วมกันในประเด็นเดียวกัน ทำให้ลดความขัดแย้งในการประชุมลงไปได้มาก
2.              เนื่องจากระบบให้คนคิดทีละด้าน มองทีละด้าน จากด้านหนึ่งไปมองอีกด้านหนึ่ง ทำให้เห็นภาพจริงที่ชัดเจน เป็นผลให้ในเกิดการพิจารณาความคิดใหม่ ๆ ได้รอบคอบ
3.              การใช้ Six Thinking Hats ช่วยให้ทุกคนอยากมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ทำให้เป็นการดึงเอาศักยภาพ ของแต่ละคนมาใช้โดยที่ไม่รู้ตัว
4.              ช่วยประหยัดเวลาในการประชุม เนื่องจาก ทุกคนในที่ประชุมมีความคิดแบบคู้ขนาน
5.              จำกัดโอกาสหรือช่องทางสำหรับการโต้เถียงหรือโต้แย้งกัน

สุรป
                เทคนิคการคิดแบบ six thinking hats จะเป็นการรวมความคิดด้านต่างๆ ไว้ครบถ้วนทุกด้าน ระบบให้คนคิดทีละด้าน มองทีละด้าน จากด้านหนึ่งไปมองอีกด้านหนึ่ง จะได้เห็นภาพจริงที่ชัดเจน  ทำให้พิจารณาความคิดใหม่ ๆ ได้รอบคอบ เป็นผลให้เกิดความคิดที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น การคิดเป็นทักษะที่สามารถเรียนรู้ ฝึกฝน และพัฒนาได้ การใช้วิธีคิดแบบสวมหมวกคิด six thinking hats จะช่วยให้ผู้คิดสามารถคิดอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนในการคิดอย่าง สร้างสรรค์และสามารถแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น

ตัวอย่างองค์กรที่มีการนำ Six Thinking Hats ไปใช้
                บริษัท ไอบีเอ็ม ที่นำวิธีการ มาใช้ ทำให้สามารถลดเวลาในการประชุมแต่ละ ครั้งได้ถึง 75 % เนื่องจากเกิดการโต้เถียงในที่ประชุมน้อยลง เพราะไม่นำความคิดหลายด้านมาปะปนกัน ทำให้ช่วย ประหยัด เวลาได้มาก และมีองค์กร ขนาดใหญ่หลายแห่งทั่วโลก นำ Six Thinking Hats ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการ พัฒนาองค์กร
                นอกจากจะมีการนำไปใช้ในองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนแล้ว หลายประเทศทั่วโลกยังได้นำการคิดแบบ ใบไปใช้ฝึกทักษะการคิดของนักเรียนในโรงเรียน เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย อิสราเอล สวีเดน และสิงคโปร์ เป็นต้น ในบางประเทศ เช่น เวเนซูเอลา กฎหมายการศึกษาได้กำหนดให้ครูทุกคนต้องผ่านการฝึกหลักสูตรการ คิดแบบ Six Thinking Hats ก่อนจึงจะเข้าเป็นครูได้
                สำหรับประเทศไทย ได้มีเอกชนจัดตั้งศูนย์ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity Center) ตามแนวทางของ เดอ โบโน ขึ้น โดยเปิดอบรม หลักสูตรการคิดแบบหมวก Six Thinking Hats ผู้ที่มาเข้ารับการอบรมส่วนใหญ่ เป็นผู้บริหารหรือพนักงานขององค์กร ธุรกิจเอกชนที่สนใจนำทักษะการคิดดังกล่าวไปพัฒนาตนเองและองค์กร สำหรับการนำไปใช้ในโรงเรียน ในประเทศไทย ยังไม่มีโรงเรียนใดนำไปรวมในหลักสูตรการเรียนการสอนโดยตรง แต่ละเป็นในรูปแบบที่ครูซึ่งสนในโดยส่วนตัวนำไป ทดลองใช้กับลูกศิษย์ตนในโรงเรียน
                ตัวอย่าง ครูไทยที่ได้นำวิธีคิดแบบ Six Thinking Hats ไปให้นักเรียนฝึกฝนความคิดตามแนวทางคือ ฝึกฝนความคิดตามแนวทาง นี้คือ อาจารย์ชาตรี สำราญ ครูต้นแบบสาขาภาษาไทย ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ประจำปี 2541 แห่งโรงเรียน คุรุชนพัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา โดยกิจกรรม มอบหมายงานให้นักเรียนอ่านข่าวหรือบทความ จากหนังสือพิมพ์ แล้วมาร่วมกันสรุปความคิดโดยตั้งคำถามแบบหมวก 6 ใบ
                สมมุติว่า ตัวอย่างสถานการณ์ข่าวที่นำมาให้ร่วมวิจารณ์คือ "ตำรวจทางหลวงจับพ่อค้ายาบ้า ขณะที่นำยาบ้ามาจากเชียงราย เพื่อส่งขายลูกค้าที่กรุงเทพฯ ได้ยาบ้า 25,800 เม็ด" ให้นักเรียนแต่ละคนอ่านข่าวหรือให้ร่วมอภิปรายโดยใช้การคิดแบบ หมวก 6 ใบ เป็นรูปแบบการแสดงความคิดเห็น
หมวกสีขาว ครูจะช่วยตั้งประเด็น คำถาม มุ่งหาข้อมูลจริงที่ปรากฏในข่าว ทั้งนี้ครูต้องระวังมิให้ข้อคิดเห็นของตน ปะปนเข้าไปในคำถาม ครูอาจถามว่า ข้อมูลหลักๆ ในข่าวมีอะไรบ้าง นักเรียนต้องตอบคำถามตามข้อมูลที่ปรากฏ นักเรียนต้องตอบว่า"ตำรวจทางหลวงจับพ่อค้ายาบ้า ได้ยาบ้า 25,800 เม็ด "หากนักเรียนตอบว่า "ตำรวจทางหลวงจับพ่อค้ายาบ้ารายใหญ่" หรือ"ได้ยาบ้าจำนวนมหาศาลถึง 25,800 เม็ด" จะเป็นคำ ตอบที่เกินเลยข้อมูลความจริง เพราะบางข้อความที่ปรากฏคือ รายใหญ่ หรือมหาศาล เป็นความคิดเห็นเพิ่มเติมส่วนตัว ไม่มีในเนื้อข่าว ผิดจุดประสงค์ของการติดแบบหมวกสีขาว ซึ่งครูต้องชี้แจงให้นักเรียนทราบถึงความ แตกต่างดังกล่าว
หมวกสีแดง นอกจากเหตุผล แล้ว ธรรมชาติของคนยังประกอบด้วยอารมณ์ ความรู้สึก กระทั่งลางสังหรณ์ที่อธิบายด้วยเหตุผลได้ยาก อาจกล่าวได้ว่าหมวกสีแดง ตรงกันข้ามกับหมวกสีขาว ขณะที่หมวกสีขาวเสนอข้อมูลที่เกิดขึ้นและไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไรกับข้อมูลเหล่านั้น แต่หมวกสีแดงไม่สนใจข้อมูลจริง แต่สนใจ อารมณ์ความรู้สึกของคนที่มีต่อข้อมูลนั้นๆ ครูต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความรู้สึกภายในออกมา เพราะอารมณ์ความรู้สึกเป็นส่วนที่สำคัญยิ่งของกระบวนการคิด แม้คนเราพยายามคิดโดยปราศจาก อารมณ์ หรืออคติ แต่สุดท้ายทางเลือกการตัดสินในที่ได้มักขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคนอยู่ มาก ดังนั้นจุดมุ่งหมายของการคิดแบบหมวกสีแดง ก็เพื่อเปิดโอกาสให้แต่ละคน ได้เผยอารมณ์ความรู้สึกของคนต่อเรื่อง นั้นๆ ออกมา ประโยชน์ที่ได้คือเราจะไม่นำความรู้สึกและข้อมูลเหตุผลมาปะปนกันจนเกิดความสับสนในการคิด
ถึงตอนนั้นนักเรียนจะแสดงความคิดในบทบาทสวมหมวกสีแดง ครูอาจถามนำว่า นักเรียนรู้สึกอย่างไรต่อข่าวที่อ่าน เมื่อเด็ก สวมหมวกความคิดสีแดง เด็กอาจใช้ อารมณ์พูดออกมาว่า "พ่อค้าพวกนี้ไม่รู้จักกลัวบาป" "พ่อค้าพวกนี้ใจร้ายฆ่าคนตายทั้ง เป็น " หรือ "น่าจะยิงเป้าให้รู้แล้วรู้รอด" เมื่อเด็กแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมา แล้ว ครุจะได้สังเกตเห็นและชี้ให้เด็กมอง เห็นว่านี่คืออารมณ์ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ที่มักมีผลต่อกระบวนการคิดของคนเรา เมื่อเด็กรู้เท่าทันก็จะไม่นำอารมณ์ความรู้สึก ไปปะปนกับข้อมูลความจริงส่วนอื่น
หมวกสีดำ เป็นการพิจารณาหรือใช้วิจารณญาณ ตั้งข้อสงสัยก่อนจะตัดสินใจเชื่อสิ่งใดลงไป การติดแบบหมวกสีดำเป็นการ ติดที่มีเหตุผลสนับสนุนดำเนินไปอย่าง รอบคอบ และผู้ติดตั้งข้อสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยครุอาจตั้งคำถามนำ เช่น มีผล ประโยชน์ใดแอบแฝงเบื้องหลังการค้ายาบ้าครั้งนี้หรือไม่ เมื่อได้รับคำถามเหล่านี้ เด็กๆ จะต้องคิดหาเหตุผลมาตอบปัญหา เช่น เด็กอาจตอบว่า ถึงแม้มีข่าวการจับกุมการค้ายาบ้าอยู่เป็นประจำ แต่ยาบ้ายังคงแพร่ระบาดอยู่ทุกหนแห่งในประเทศ ไทย ทั้งนี้เป็นเพราะผู้มีอิทธิพลได้รับผลประโยชน์จากการค้ายาบ้า เป็นต้น
หมวกสีเหลือง เหมือนหมวกสีดำตรงต้องอาศัยเหตุผลมาสนับสนุนความคิด แต่ขณะที่หมวกสีดำเป็นการตั้งข้อสงสัย (เรื่องราวเป็นเช่นนี้จริงหรือมีสิ่งใดแอบแฝงหรือ ไม ่ ) หมวกสีเหลืองจะคิดถึงแง่บวก เต็มไปด้วยความหวัง แต่ความหวังนั้น ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผลด้วย หรืออาจพูดได้ว่าการคิดแบบหมวกสีเหลือง คือการมองไปข้างหน้า ถามตน เองว่าถ้าทำสิ่งนี้แล้ว จะเกิดประโยชน์หรือผลดีอย่างไร ครูอาจตั้งคำถาม เช่น ข่าวนี้สะท้อนปรากฏการณ์ด้านบวกอย่างไรบ้าง หรือควรทำเช่นไร เพื่อคลี่คลายสถานการณ์การค้ายาบ้าในประเทศไทย  เมื่อนักเรียนสวมหมวกความคิดสีเหลือง เด็กจะต้องหาเหตุผลด้านบวกมาแสดง เช่นระยะนี้มีข่าวการจับพ่อค้ายาบ้าได้บ่อย ครั้งมากขึ้น เป็นเพราะมีการรณรงค์ให้ หลายฝ่ายร่วมมือกัน และผู้รักษากฎหมายเอาจริงเอาจังมากขึ้นในการปราบปราม ถ้าทุกฝ่ายเอาจริงเอาจังเพิ่มขึ้นอีก โดยคิดถึงประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ปัญหา ยาบ้าก็จะทุเลาเบาบางลงในที่สุด เป็นต้น
หมวกสีเขียว คือความคิดที่สร้างสรรค์ นำมาซึ่งทางเลือกใหม่ และวิธีแก้ปัญหาใหม่ เด็กจะต้องตั้งข้อเสนอแนะความคิดหรือ มุมมองใหม่ๆ ของตนออกมาหมวกสีเขียว ต่างจากหมวกสีเหลืองและหมวกสีดำตรงข้อเสนอแนะหรือแนวคิดแบบหมวกสีเขียวไม่ต้องมีเหตุผลที่หนักแน่นมา สนับสนุน เป็นเพียงการนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ขึ้นสำหรับการสำรวจตรวจสอบความเป็นไปได้ของแนวคิดนั้นต่อไป ครูอาจตั้งคำถาม เข่น อ่านข่าวเกี่ยวกับยาบ้าแล้ว นักเรียนคิดว่าจะมีแนวทางใดบ้างที่จะป้องกัน ไม่ให้ชุมชนของเรามีคนเสพย์และขายยาบ้า  เด็กๆ ร่วมกันคิดหาหนทางแก้ไข ที่แปลกแหวกแนวจากความคิดเก่าๆ ที่เคยมีผู้เสนอมา หน้าที่ครูคือต้องกระตุ้นให้เด็กกล้าแสดงความคิด ที่แปลกใหม่ เช่น เด็กๆ อาจเสนอความคิดเรื่องการรณรงค์ให้ชุมชนหรือหมู่บ้านของตนเป็นเขตปลอดยาบ้า โดยทุกบ้านต้องช่วยกัน สอดส่องดูความเคลื่อนไหวของการซื้อขายยาบ้าในชุมชน อย่างจริงจัง ให้กลายเป็นชุมชน "ปลอดยาบ้า" เพื่อเป็นแบบอย่างให้ชุมชนอื่นๆ ทั่วประเทศ จากนั้นครูแบะนักเรียนจึงถกกันถึงความเป็นไปได้และวิธีการที่จะทำให้เกิด ผลในทางปฏิบัติต่อไป เป็นต้น
หมวกสีฟ้า เป็นหมวกคิดของการวางแผน การจัดลำดับขั้นตอน หมวกสีฟ้าจะเป็นเหมือนประธานของที่ประชุมเป็นผู้บอกว่า เมื่อไรควรสวม หมวกสีใด หรือเปลี่ยน ไปสวมหมวกสีใด
หมวกสีอื่นๆ จะมุ่งคิดถึงเนื้อหาสาระของข้อมูล แต่เมื่อคิดแบบหมวกสีฟ้า ผู้คิดจะมุ่งสังเกตกระบวนการคิดของตนโดยทั่วๆ ไป การคิดแบบ หมวกสีฟ้าจะควบคุม ประเด็นต่างๆ อาทิเช่น ถึงตอนนี้เรากำลังคิดแบบใดอยู่ และคืนหน้าไปถึงไหนแล้ว อะไรคือข้อสรุปที่ได้จากการคิดทบ ทวนหลายรูปแบบ(หลายหมวกความคิด) และมีข้อน่าสังเกตหรือข้อท้วงติงใดบ้าง (เช่น กำลังหลงประเด็นอยู่หรือไม่ หรือใช้ความคิดแบบ หมวกสีแดงมากไปหรือไม่) ครูอาจ
แนะนำให้นักเรียนตั้งข้อสังเกตว่า พวกเขากำลังใช้เวลามากเกินกับการโต้เถียงในจุดใดจุดหนึ่งหรือไม่ หรือจนขณะนี้นักเรียนอภิปรายกันถึงแต่ทางเลือกเดียว นักเรียนควรพิจารณากันถึงทางเลือกอื่นๆ ด้วยหรือไม่ เป็นต้น

     ทั้งหมด  คือบทความสำหรับใช้วางเป็นกรอบทางความคิดสำหรับแต่ละ เหตุการณ์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล มากที่สุด ...... ขอให้สนุกกับการคิดนะครับ

Ton Vichayen
My Share to be Your Share

YouTube of The Year 2011 ... ครับ.

วันนี้ นำเรื่อง YouTube of the Year 2011 มาให้อ่านและLoad ดูกันเล่นๆ ครับ..... ว่าแต่ว่า Justin ในวัย 30 ปีให้หลังนี่ .... ดูไม่ได้เลยเนอะ.....

Ton Vichayen




YouTube – รายงานที่สุดแห่งปีทั้ง Facebook และ iOS แอพพลิเคชั่น กันไปแล้ว มาถึงเรื่องราวของเว็บไซต์วิดีโออันดับหนึ่งอย่าง YouTube กันบ้าง หลังเพิ่งปรับโฉมขนานใหญ่ไป หันมาดูอันดับที่สุดแห่งวิดีโอยอดนิยมตลอดรอบปีที่ผ่านมา  ปรากฎว่าอันดับหนึ่งยังคงตกเป็นของหนุ่มน้อย ที่ไม่น้อยแล้วอย่าง  Justin Bieber กับเอ็มวี Baby ที่เรียกวิวจากทั้งคนรักและคนที่เข้ามาด่า สังเกตได้จากปรอท like ที่แดงมากว่าครึ่ง

ตามมาด้วยป้าเจโลจาก On The Floor  ฟิจเจอริ่ง  Pitbull  อันดับที่ 3 ตกเป็นของสาวแรงส์ แปลกอย่างLady Gaga กับ Bad Romance ต่อด้วย Waka Waka จาก Shakira ในอันดับที่ 4  และในอันดับที่ 5 เป็นของป๋าเอมิเนมฟิจเจอริ่งรีฮานน่ามาในเพลง Love The Way You Lie อีกเอ็มวีเป็น Not Afraid  ที่อยู่ในอันดับที่ 9 ปิดท้ายตารางด้วย Never Say Never  จากหนุ่มจัสติน บีเบอร์ ที่ปรอท Like ยังคงแดงเถือกอีกคลิป!!


1. Justin Bieber – Baby ft. Ludacris


671,069,814 views

2. Jennifer Lopez – On The Floor ft. Pitbull


444,281,564 views

3. Lady Gaga – Bad Romance


432,227,541 views

4. Shakira – Waka Waka(This Time for Africa)


427,435,565 views

5. Eminem – Love The Way You Lie ft. Rihanna



410,857,092 views

6. Charlie bit my finger – again !


410,857,092 views

7. Parto in un letto


313,701,265 views

8. LMFAO – Party Rock Anthem

ft. Lauren Bennett, GoonRock


309,973,631 views

9. Eminem – Not Afraid


99,015,313 views

10. Justin Bieber – Never Say Never ft. Jaden Smith


284,263,189 views

Source By  Readwriteweb

Power of everything

สวัสดีครับ      ยอมรับว่าห่างหายไปจากการ ทำ Blog ตนเองกว่า 1 ปี ...... ไม่ได้หลงลืม หรือ ขาดความสนใจสำหรับการเขียน Blog หรือ หาข้อมูล ...