Monday, January 30, 2012

สำหรับผู้ที่เคยทำงานเป็น Shift Time คงชื่นชอบ กับ อาหาร Fast Food ที่บริหารเราตลอดเวลา....!!!


"บริการ 24 ชม." ช่องทางใหม่ฟาสต์ฟูดสหรัฐ

ชาวอเมริกันที่ทำงานในช่วงเย็น ค่ำ หรือทำงานเป็นกะ มีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 5 ของจำนวนผู้มีงานทำทั้งหมด
เครือข่ายอาหารจานด่วนในสหรัฐเริ่มขยายเวลาเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมงกันมากขึ้นในช่วงเร็วๆ นี้ เพื่อเอาใจคนนอนดึกและคนที่ต้องตื่นเช้ากว่าคนทั่วไป ซึ่งกลายมาเป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และช่วยเพิ่มยอดขายให้กับสาขาที่เปิดบริการ
ตามสถิติของ แมคโดนัลด์ คอร์ป เวลาระหว่างเที่ยงคืนถึงตีห้า เป็นช่วงที่ยอดขายเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยปัจจุบันสาขาของแมคโดนัลด์ในสหรัฐ ที่เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 40% ของสาขาทั้งหมด จากประมาณ 30% เมื่อ 7 ปีที่แล้ว
เบอร์เกอร์คิง โฮลดิงส์ อิงค์ กำหนดให้สาขาในสหรัฐเปิดถึงเที่ยงคืนในวันศุกร์และเสาร์ ส่วนวันอื่นๆ เปิดถึง 5 ทุ่ม แต่ก็มีสาขาหลายร้อยแห่งที่เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว
ส่วนดังกิ้นโดนัท มีสาขาที่เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมงเพิ่มเป็นสองเท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของสาขากว่า 7,000 แห่งทั่วสหรัฐ
ผู้บริหารอุตสาหกรรมและนักวิเคราะห์มองว่า แนวโน้มที่เกิดขึ้นเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงลักษณะการทำงานของชาวอเมริกัน โดยแฮเรียต เพรสเซอร์ อาจารย์สังคมวิทยา มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ผู้แต่งหนังสือ "เศรษฐกิจที่ไม่เคยหลับใหล" กล่าวว่า ชาวอเมริกันที่ทำงานในช่วงเย็น ค่ำ หรือทำงานเป็นกะ มีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 5 ของจำนวนผู้มีงานทำทั้งหมด
ทางด้าน สตีฟ เลอวีญ รองประธานฝ่ายเอาใจใส่ผู้บริโภคและธุรกิจอย่างลึกซึ้งของ แมคโดนัลด์ กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นเพราะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น หรือเพียงเพราะการทำงานกะดึก แต่บริษัทก็เห็นว่ามีคนออกมาข้างนอกตอนดึกมากขึ้น
แมคโดนัลด์ ไม่ได้เปิดเผยว่า ยอดขายในช่วงเที่ยงคืนถึงตีห้า คิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของยอดขายโดยรวม แต่ระบุว่า ช่วงเวลาดังกล่าวมีอัตราการเติบโตเป็นสองเท่าของช่วงอาหารกลางวันและอาหารเช้า
แพท เทรฟฟิเลตติ เจ้าของสาขาแมคโดนัลด์ ในอัลบานี นิวยอร์ก ทบทวนความหลังว่า เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว นักศึกษาผู้หนึ่งถามเขาว่าทำไมหาซื้อบิ๊กแมคไม่ได้ตอนตีสาม ซึ่งเขาตอบไปว่า เป็นเพราะร้านไม่ได้เปิดในช่วงนั้น
หลังจากนั้น เทรฟฟิเลตติ ตัดสินใจค้นหาว่ามีเหตุผลอะไรบ้างที่สมควรเปิดร้านในช่วงเวลานั้น เขาขับรถไปรอบเมืองในช่วงดึก และรู้สึกประหลาดใจกับการจราจรที่เห็นบนท้องถนน ขณะที่ศูนย์ดูแลสุขภาพหลายแห่งก็เปิดให้บริการ และพนักงานส่งของก็นำสินค้าไปส่งตามร้านต่างๆ
"ผมเริ่มพูดคุยกับลูกค้า และพวกเขาก็บอกว่าอยากให้ร้านเปิดถึงตอนดึก รูปแบบการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหลายปีก่อน ความสะดวกสบายหมายถึงเพียงแค่ทำเลที่เหมาะสม แต่ตอนนี้ต้องมากกว่านั้นแล้ว" เทรฟฟิเลตติ กล่าว
เจ้าของสาขาแมคโดนัลด์แห่งอัลบานี จัดให้สาขา 2 แห่งเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมงเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และให้สาขาที่ 3 เปิดบริการแบบเดียวเมื่อ 18 เดือนก่อน
ล่าสุด เทรฟฟิเลตติ ให้สาขาเหล่านั้นเสนอบริการเมนูอาหารเช้าบางอย่างตั้งแต่เที่ยงคืนเป็นต้นไป นอกเหนือจากเบอร์เกอร์และมันฝรั่งทอด เนื่องจากลูกค้าส่วนหนึ่งเพิ่งเริ่มต้นวันใหม่ ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งใกล้จบวัน
เทรฟฟิเลตติ กล่าวว่า ลูกค้าในช่วงดึกถึงเช้ามืด มีทั้งนักศึกษาที่ต้องการหาของรับประทานหลังจากร้านอาหารอื่นๆ ปิดไปหมดแล้ว คนงานกะดึก คนทำงานเสริมเพื่อหาลำไพ่พิเศษ และคนสูงวัยที่ตื่นแต่เช้ามืด
เมื่อเร็วๆ นี้ สาขาแห่งหนึ่งของแมคโดนัลด์ในชิคาโกที่เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง มีลูกค้าเข้าร้านพร้อมกันมากกว่า 20 คนเมื่อตอนตีสองของวันศุกร์
เออร์เนสต์ โรเบอร์สัน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของ แมคโดนัลด์ กล่าวว่า ลูกค้าที่เข้าร้านยามดึกมักเป็นพวกนักเที่ยวหรือคนจรจัด แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ คนทำงาน พนักงานรับจอดรถ และคนงานก่อสร้าง เข้ามาใช้บริการด้วย
ไมค์ พิตต์แมน คนงานก่อสร้างวัย 65 ปี ผู้ใช้เวลากลางคืนทำงานซ่อมแซมอาคารแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับสาขาของแมคโดนัลด์ มักเข้าไปรับประทานอาหารที่สาขาแห่งนี้ในช่วงพัก โดยให้เหตุผลว่า ในช่วงเวลาดึกดื่นขนาดนี้ มีเพียงร้านนี้ที่เปิดให้บริการ
แมคโดนัลด์ ซึ่งรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้ เปิดเผยว่า เหตุผลประการหนึ่งที่ช่วยสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในไตรมาสล่าสุด ได้แก่ ความพยายามเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า รวมถึงการขยายชั่วโมงบริการ
ในไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. แมคโดนัลด์ รายงานผลประกอบการเหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ โดยมีผลกำไรสุทธิ 1,380 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 1,240 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนหน้านั้น ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 6,820 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 9.8% จากปีก่อน
ผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ก่อนหน้านี้คาดว่า แมคโดนัลด์ จะมีกำไรสุทธิ 1,290 ล้านดอลลาร์ และรายได้รวม 6,810 ล้านดอลลาร์
แมคโดนัลด์ ทำนายด้วยว่า ยอดขายจากสาขาทั่วโลกในเดือนม.ค. จะเพิ่มขึ้น 5.5-6.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 7.5% เมื่อไตรมาสสี่ปีที่แล้ว
จิม สกินเนอร์ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร แมคโดนัลด์ กล่าวว่า บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจได้ดีในทุกสถานการณ์ แต่ก็ยอมรับว่า เศรษฐกิจโลกที่ยังไม่มั่นคง ความผันผวนของราคาอาหาร และความมั่นใจผู้บริโภคในระดับต่ำ ถือเป็นความท้าทายของบริษัท
ขณะที่คนทั่วไปอาจมองเพียงว่า แมคโดนัลด์ และเครือข่ายอาหารจานด่วนอื่นๆ ช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับการรับประทานอาหารยามดึก แต่ผลสำรวจหลายชิ้นแสดงว่า ความต้องการในส่วนนี้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ดังกิ้นโดนัท ซึ่งเป็นจุดหมายยามเช้าของผู้บริโภคมานาน ก็ขยายเวลาเปิดบริการไปจนดึก โดย จอห์น คอสเตลโล หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่การตลาดและการสร้างสรรค์ ดังกิ้น แบรนด์ กรุ๊ป กล่าวว่า ผลการวิจัยและการตอบรับจากแฟรนไชส์ซี บ่งชี้ถึงการเติบโตอย่างมั่นคงของยอดขายในช่วงดึก
"ผมคิดว่าเราต้องเดินหน้าสู่วันที่ปราศจากนาฬิกากันแล้ว ผู้คนทำงานกันนานขึ้น และบางกรณีก็ทำคนละหลายงาน หลายคนหิวกระหายเวลามากขึ้น และต้องการความหลากหลายของสินค้าที่ไม่มีการจำกัดช่วงเวลา" คอสเตลโล กล่าว

แปลกใจกับเรื่อง ชนชั้นที่ยังมีอยู่ในสังคมในประเทศที่พัฒนาแล้ว!




ฝันที่ไม่เป็นจริงกับช่องว่างชนชั้นในอเมริกา

TOOLS
คอลัมน์อื่นๆ
วิสัยทัศน์แบบประชานิยมของโอบามาที่พูดถึงสังคมเสมอภาคมีขึ้นในช่วงที่ความฝันของคนอเมริกันกำลังกลายเป็นจริงยากขึ้นเพราะเหลื่อมล้ำกันมากขึ้น
 นายโอบามา  ใช้โอกาสของการแถลงนโยบายประจำปี เรียกร้องให้ขึ้นภาษีคนรวย ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป้าหมายของเขาคือนายมิตต์ รอมนีย์ มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัทเงินทุนเพื่อการลงทุน และกำลังเป็นตัวเก็งผู้แทนพรรครีพับลิกันเพื่อชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดี
แต่นักวิเคราะห์มองว่าการโต้กันไปมาด้านเศรษฐกิจ ระหว่างพรรคเดโมแครตของโอมาบากับพรรครีพับลิกัน ไม่สามารถปกปิดช่องว่างด้านฐานะที่ถ่างกว้างขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
"ความฝันของอเมริกากำลังเจอปัญหา เพราะการไปถึงความฝันนั้นเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับคนอเมริกัน อีกทั้งคนจำนวนมากยังมองว่าเกมนี้มีการโกงหรือวางตัวคนไว้แล้ว โดยคนระดับสูงๆ ได้วางแนวทางที่จะเอื้อประโยชน์แก่ตัวเองเท่านั้น" เดวิด แมดแลนด์ ผู้อำนวยการโครงการคนงานอเมริกันแห่งกลุ่มคลังสมองอเมริกันโพรเกรสส์ ระบุ
กลุ่มคลังสมองสถาบันบรูกกิงส์ และพิวแชริเทเบิลทรัสต์ ทำการวิจัยที่ครอบคลุมที่สุดชิ้นหนึ่ง เกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ในสหรัฐ ด้วยการอาศัยข้อมูลของทางการระหว่างปี 2522-2547 พบว่ารายได้หลังเสียภาษีของคนอเมริกันที่มีฐานะยากจนมากที่สุดจำนวน 1 ใน 5 เพิ่มขึ้น 9% ขณะที่รายได้ของคนรวยที่สุดจำนวน 1 ใน 5 เพิ่มขึ้น 69% ส่วนผู้มีฐานะมหาเศรษฐีมีรายได้เพิ่มขึ้น 176%
รายงานชิ้นเดียวกัน  ระบุว่าค่าตอบแทนของหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เมื่อเทียบกับรายได้ของพนักงานนั้น สูงขึ้นไปอีกในช่วงปี 2521-2548 โดยค่าตอบแทนของซีอีโอทะยานจาก 35 เท่าเป็นเกือบ 262 เท่าของรายได้คนงานโดยเฉลี่ย
ความไม่เท่าเทียมเช่นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาชูให้เป็นประเด็นโดยกลุ่ม "ยึดครองวอลล์สตรีท" ซึ่งชุมนุมที่นิวยอร์ก จนกระทั่งหลายชาติได้แรงบันดาลใจและทำตามบ้าง
อีริน เคอร์เรียร์ ผู้จัดการแห่งโครงการอีโคโนมิกโมบิลิตีของพิว กล่าวว่ากระแสการขึ้นมาของกลุ่มยึดครองวอลล์สตรีท สอดคล้องกับการที่ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายมองเห็นจุดสำคัญนี้ในช่วงปีที่ผ่านมา จนกระทั่งเรื่องนี้ได้รับการชูเป็นประเด็นหลักในการกล่าวนโยบายประจำปีของโอบามา ซึ่งเรียกร้องให้สร้างความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ
"คนอเมริกันเห็นชัดเจนว่ารัฐบาลสามารถเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้ได้" เคอร์เรียร์ระบุ
ต่อคำถามที่ว่า  ความฝันของอเมริกายังอยู่ดีเหมือนเดิมหรือไม่ เคอร์เรียร์ตอบว่าใช่และไม่ใช่ พร้อมอธิบายว่ารายได้ของคนระดับล่าง สูงกว่ารายได้ของรุ่นพ่อแม่ของกลุ่มนี้ แต่ฐานะทางเศรษฐกิจของคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ขยับขึ้นตามไปด้วย
"สิ่งดังกล่าวสวนทางกับแนวคิดพื้นฐานเรื่องความยุติธรรมและโอกาสที่เท่าเทียมกัน" เคอร์เรียร์ระบุ พร้อมชี้ถึงเวลา 4 ปีในการเรียนระดับมหาวิทยาลัย การเก็บเงิน และการมีบ้านอยู่ในย่านดีๆ ว่าเป็นกุญแจสำคัญ 3 อย่างในการเลื่อนชั้นทางสังคมและฐานะของคนอเมริกัน
ในช่วงที่ความพยายามสร้างงาน ถือเป็นประเด็นหลักในการหาเสียงเลือกตั้งผู้นำสหรัฐนั้น ระดับภาษีที่คนอเมริกันต้องจ่าย ก็ผงาดขึ้นมาเป็นวาระหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน หลังจากนายรอมนีย์เปิดเผยว่าเมื่อปี 2553 เขาจ่ายภาษีเพียง 13.9% ซึ่งน้อยกว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่ที่จ่ายภาษีกว่า 30%
ขณะที่โอบามา  ระบุในการแถลงนโยบายประจำปีว่าเศรษฐีควรเสียภาษีอย่างน้อย 30%
อย่างไรก็ตาม เดวิด เคย์ จอห์นสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีและผู้เขียนหนังสือเรื่อง "Free Lunch: How the wealthiest Americans enrich themselves at government expense and stick you with the bill" ระบุว่านักการเมืองเป็นกลุ่มที่ควรถูกตำหนิฐานที่ปล่อยให้เกิดความไม่ยุติธรรมเช่นนี้
การวิจัยของจอห์นสัน  พบว่าเมื่อปี 2504 สมัยที่จอห์น เอฟ เคนเนดี เป็นประธานาธิบดีนั้น คนอเมริกันที่รวยสุด 390 คน จ่ายภาษีเฉลี่ย 42% แต่ภายในปี 2551 อัตราภาษีสำหรับคนรวยลดลงเหลือ 18% ขณะที่ในช่วงเดียวกันนั้น คนอเมริกันระดับล่างจำนวน 90% ต้องเสียภาษีน้อยลงเพียงเล็กน้อย จาก 9.6% เหลือ 7.2%
"อัตราภาษีสำหรับคนกลุ่มหนึ่งลดลง 24% ขณะที่อัตราภาษีสำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่งลดลงแค่ 2.4% อเมริกามีระบบภาษี 2 ชุดซึ่งแบ่งแยกและไม่เท่าเทียม" จอห์นสันระบุ พร้อมชี้ว่าคนทำงานและธุรกิจส่วนใหญ่ถูกเก็บภาษีอย่างละเอียดและมีประสิทธิภาพมาก ขณะที่ผู้จัดการกองทุนเพื่อการลงทุนถูกเก็บภาษีต่้ำมาก
"แต่เรื่องเหล่านี้้ก็เป็นเรื่องถูกกฎหมายทั้งสิ้น" จอห์นสันเสริม
อย่างไรก็ตาม  ประธานาธิบดีโอบามา  ปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของพรรครีพับลิกัน ที่ว่าเขาทำสงครามชนชั้น ด้วยการเรียกร้องให้ขึ้นภาษีคนรวยที่มีรายได้ปีละ 1 ล้านดอลลาร์ เป็นอย่างน้อย 30% พร้อมชี้ให้เห็นช่องโหว่ซึ่งเปิดทางให้คนรวยอย่างนายรอมนีย์ เสียภาษีในระดับต่ำ เพราะมีรายได้มาจากการลงทุน
"ผมได้ยินคนพูดว่านี่เป็นสงครามชนชั้น ซึ่งไม่ใช่เลย" โอบามากล่าวพร้อมชี้ถึงนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนที่ประกาศว่าตัวเองน่าจะเสียภาษีสูงกว่าอัตราที่พนักงานของเขาต้องเสียในแต่ละปี และเตือนว่าคนอเมริกันต้องตัดสินใจว่าจะสร้างเศรษฐกิจที่มีความเท่าเทียม นำเงินไปอุดหนุนการศึกษาและการทหาร หรือปล่อยให้คนรวยไม่ต้องเสียภาษีในอัตราสูง
"เราไม่สามารถทำทั้งสองอย่างในคราวเดียวกัน ท่านต้องเป็นคนเลือก เราไม่ได้ชิงชังความสำเร็จในอเมริกา แต่เราโหยหาสิ่งนั้น"โอบามากล่าว
ทั้งนี้ ความพยายามครั้งก่อนๆ ของโอบามาที่จะขึ้นภาษีคนรวย หรือยกเลิกการลดภาษีสำหรับผู้รายได้สูงซึ่งผ่านสภาไปในสมัยของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชนั้น ล้มเหลว ดังนั้นยุทธศาสตร์ครั้งนี้ของเขาจึงดูเป็นเหมือนการเดินหมากทางการเมืองเพื่อให้พรรครีพับลิกันดูเป็น "ตัวช่วย" คนรวย ในช่วงที่ความไม่เท่าเทียมกันทางรายได้มีอยู่มาก
ขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกัน  ก็มีปฏิกิริยาไม่พอใจอย่างมากกับการแถลงนโยบายประจำปีของโอบามา โดยวุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน ระบุว่า คำแถลงของโอบามา  เป็นการหาเสียงอย่างยอดเยี่ยม เพราะจุดชนวนประเด็นสงครามชนชั้น
ด้านนายจอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า  สุนทรพจน์ของโอบามาเป็นแค่การหาเสียง และโอบามาไม่ต้องการรับผิดชอบสำหรับนโยบายต่างๆ ที่ล้มเหลว

Power of everything

สวัสดีครับ      ยอมรับว่าห่างหายไปจากการ ทำ Blog ตนเองกว่า 1 ปี ...... ไม่ได้หลงลืม หรือ ขาดความสนใจสำหรับการเขียน Blog หรือ หาข้อมูล ...