ฝันที่ไม่เป็นจริงกับช่องว่างชนชั้นในอเมริกา
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วิสัยทัศน์แบบประชานิยมของโอบามาที่พูดถึงสังคมเสมอภาคมีขึ้นในช่วงที่ความฝันของคนอเมริกันกำลังกลายเป็นจริงยากขึ้นเพราะเหลื่อมล้ำกันมากขึ้น
นายโอบามา ใช้โอกาสของการแถลงนโยบายประจำปี เรียกร้องให้ขึ้นภาษีคนรวย ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป้าหมายของเขาคือนายมิตต์ รอมนีย์ มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัทเงินทุนเพื่อการลงทุน และกำลังเป็นตัวเก็งผู้แทนพรรครีพับลิกันเพื่อชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดี
แต่นักวิเคราะห์มองว่าการโต้กันไปมาด้านเศรษฐกิจ ระหว่างพรรคเดโมแครตของโอมาบากับพรรครีพับลิกัน ไม่สามารถปกปิดช่องว่างด้านฐานะที่ถ่างกว้างขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
"ความฝันของอเมริกากำลังเจอปัญหา เพราะการไปถึงความฝันนั้นเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับคนอเมริกัน อีกทั้งคนจำนวนมากยังมองว่าเกมนี้มีการโกงหรือวางตัวคนไว้แล้ว โดยคนระดับสูงๆ ได้วางแนวทางที่จะเอื้อประโยชน์แก่ตัวเองเท่านั้น" เดวิด แมดแลนด์ ผู้อำนวยการโครงการคนงานอเมริกันแห่งกลุ่มคลังสมองอเมริกันโพรเกรสส์ ระบุ
กลุ่มคลังสมองสถาบันบรูกกิงส์ และพิวแชริเทเบิลทรัสต์ ทำการวิจัยที่ครอบคลุมที่สุดชิ้นหนึ่ง เกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ในสหรัฐ ด้วยการอาศัยข้อมูลของทางการระหว่างปี 2522-2547 พบว่ารายได้หลังเสียภาษีของคนอเมริกันที่มีฐานะยากจนมากที่สุดจำนวน 1 ใน 5 เพิ่มขึ้น 9% ขณะที่รายได้ของคนรวยที่สุดจำนวน 1 ใน 5 เพิ่มขึ้น 69% ส่วนผู้มีฐานะมหาเศรษฐีมีรายได้เพิ่มขึ้น 176%
รายงานชิ้นเดียวกัน ระบุว่าค่าตอบแทนของหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เมื่อเทียบกับรายได้ของพนักงานนั้น สูงขึ้นไปอีกในช่วงปี 2521-2548 โดยค่าตอบแทนของซีอีโอทะยานจาก 35 เท่าเป็นเกือบ 262 เท่าของรายได้คนงานโดยเฉลี่ย
ความไม่เท่าเทียมเช่นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาชูให้เป็นประเด็นโดยกลุ่ม "ยึดครองวอลล์สตรีท" ซึ่งชุมนุมที่นิวยอร์ก จนกระทั่งหลายชาติได้แรงบันดาลใจและทำตามบ้าง
อีริน เคอร์เรียร์ ผู้จัดการแห่งโครงการอีโคโนมิกโมบิลิตีของพิว กล่าวว่ากระแสการขึ้นมาของกลุ่มยึดครองวอลล์สตรีท สอดคล้องกับการที่ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายมองเห็นจุดสำคัญนี้ในช่วงปีที่ผ่านมา จนกระทั่งเรื่องนี้ได้รับการชูเป็นประเด็นหลักในการกล่าวนโยบายประจำปีของโอบามา ซึ่งเรียกร้องให้สร้างความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ
"คนอเมริกันเห็นชัดเจนว่ารัฐบาลสามารถเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้ได้" เคอร์เรียร์ระบุ
ต่อคำถามที่ว่า ความฝันของอเมริกายังอยู่ดีเหมือนเดิมหรือไม่ เคอร์เรียร์ตอบว่าใช่และไม่ใช่ พร้อมอธิบายว่ารายได้ของคนระดับล่าง สูงกว่ารายได้ของรุ่นพ่อแม่ของกลุ่มนี้ แต่ฐานะทางเศรษฐกิจของคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ขยับขึ้นตามไปด้วย
"สิ่งดังกล่าวสวนทางกับแนวคิดพื้นฐานเรื่องความยุติธรรมและโอกาสที่เท่าเทียมกัน" เคอร์เรียร์ระบุ พร้อมชี้ถึงเวลา 4 ปีในการเรียนระดับมหาวิทยาลัย การเก็บเงิน และการมีบ้านอยู่ในย่านดีๆ ว่าเป็นกุญแจสำคัญ 3 อย่างในการเลื่อนชั้นทางสังคมและฐานะของคนอเมริกัน
ในช่วงที่ความพยายามสร้างงาน ถือเป็นประเด็นหลักในการหาเสียงเลือกตั้งผู้นำสหรัฐนั้น ระดับภาษีที่คนอเมริกันต้องจ่าย ก็ผงาดขึ้นมาเป็นวาระหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน หลังจากนายรอมนีย์เปิดเผยว่าเมื่อปี 2553 เขาจ่ายภาษีเพียง 13.9% ซึ่งน้อยกว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่ที่จ่ายภาษีกว่า 30%
ขณะที่โอบามา ระบุในการแถลงนโยบายประจำปีว่าเศรษฐีควรเสียภาษีอย่างน้อย 30%
อย่างไรก็ตาม เดวิด เคย์ จอห์นสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีและผู้เขียนหนังสือเรื่อง "Free Lunch: How the wealthiest Americans enrich themselves at government expense and stick you with the bill" ระบุว่านักการเมืองเป็นกลุ่มที่ควรถูกตำหนิฐานที่ปล่อยให้เกิดความไม่ยุติธรรมเช่นนี้
การวิจัยของจอห์นสัน พบว่าเมื่อปี 2504 สมัยที่จอห์น เอฟ เคนเนดี เป็นประธานาธิบดีนั้น คนอเมริกันที่รวยสุด 390 คน จ่ายภาษีเฉลี่ย 42% แต่ภายในปี 2551 อัตราภาษีสำหรับคนรวยลดลงเหลือ 18% ขณะที่ในช่วงเดียวกันนั้น คนอเมริกันระดับล่างจำนวน 90% ต้องเสียภาษีน้อยลงเพียงเล็กน้อย จาก 9.6% เหลือ 7.2%
"อัตราภาษีสำหรับคนกลุ่มหนึ่งลดลง 24% ขณะที่อัตราภาษีสำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่งลดลงแค่ 2.4% อเมริกามีระบบภาษี 2 ชุดซึ่งแบ่งแยกและไม่เท่าเทียม" จอห์นสันระบุ พร้อมชี้ว่าคนทำงานและธุรกิจส่วนใหญ่ถูกเก็บภาษีอย่างละเอียดและมีประสิทธิภาพมาก ขณะที่ผู้จัดการกองทุนเพื่อการลงทุนถูกเก็บภาษีต่้ำมาก
"แต่เรื่องเหล่านี้้ก็เป็นเรื่องถูกกฎหมายทั้งสิ้น" จอห์นสันเสริม
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโอบามา ปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของพรรครีพับลิกัน ที่ว่าเขาทำสงครามชนชั้น ด้วยการเรียกร้องให้ขึ้นภาษีคนรวยที่มีรายได้ปีละ 1 ล้านดอลลาร์ เป็นอย่างน้อย 30% พร้อมชี้ให้เห็นช่องโหว่ซึ่งเปิดทางให้คนรวยอย่างนายรอมนีย์ เสียภาษีในระดับต่ำ เพราะมีรายได้มาจากการลงทุน
"ผมได้ยินคนพูดว่านี่เป็นสงครามชนชั้น ซึ่งไม่ใช่เลย" โอบามากล่าวพร้อมชี้ถึงนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนที่ประกาศว่าตัวเองน่าจะเสียภาษีสูงกว่าอัตราที่พนักงานของเขาต้องเสียในแต่ละปี และเตือนว่าคนอเมริกันต้องตัดสินใจว่าจะสร้างเศรษฐกิจที่มีความเท่าเทียม นำเงินไปอุดหนุนการศึกษาและการทหาร หรือปล่อยให้คนรวยไม่ต้องเสียภาษีในอัตราสูง
"เราไม่สามารถทำทั้งสองอย่างในคราวเดียวกัน ท่านต้องเป็นคนเลือก เราไม่ได้ชิงชังความสำเร็จในอเมริกา แต่เราโหยหาสิ่งนั้น"โอบามากล่าว
ทั้งนี้ ความพยายามครั้งก่อนๆ ของโอบามาที่จะขึ้นภาษีคนรวย หรือยกเลิกการลดภาษีสำหรับผู้รายได้สูงซึ่งผ่านสภาไปในสมัยของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชนั้น ล้มเหลว ดังนั้นยุทธศาสตร์ครั้งนี้ของเขาจึงดูเป็นเหมือนการเดินหมากทางการเมืองเพื่อให้พรรครีพับลิกันดูเป็น "ตัวช่วย" คนรวย ในช่วงที่ความไม่เท่าเทียมกันทางรายได้มีอยู่มาก
ขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกัน ก็มีปฏิกิริยาไม่พอใจอย่างมากกับการแถลงนโยบายประจำปีของโอบามา โดยวุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน ระบุว่า คำแถลงของโอบามา เป็นการหาเสียงอย่างยอดเยี่ยม เพราะจุดชนวนประเด็นสงครามชนชั้น
ด้านนายจอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า สุนทรพจน์ของโอบามาเป็นแค่การหาเสียง และโอบามาไม่ต้องการรับผิดชอบสำหรับนโยบายต่างๆ ที่ล้มเหลว
No comments:
Post a Comment