การเมืองพม่ากำลังจะพลิกบทประวัติศาสตร์อีกรอบวันนี้...เมื่อรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ฮิลลารี คลินตัน
ไปเยือนอย่างเป็นทางการครั้งแรกใน 50 ปี เพื่อส่งสัญญาณว่าการปฏิรูปของเพื่อนบ้านเราทางตะวันตกได้ก้าวไปถึงจุดที่จะมีความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญยิ่ง
ที่สำคัญจริงๆ ไม่ใช่เพราะ ฮิลลารี คลินตัน บินไปเมืองหลวงเนย์ปิดอว์วันนี้เพื่อยื่นมือจับกับประธานาธิบดีเต็ง เส่ง และบินต่อมาที่ย่างกุ้งเพื่อยืนเคียงคู่กับ ออง ซาน ซูจี, นักต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย, เท่านั้น หากแต่ที่เป็นหัวใจของการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ คือ การที่คนพม่าเองจะก้าวออกจากความมืดมนทางการเมืองยาวนานมาหลายสิบปีเพื่อใช้สิทธิทางการเมืองของตนได้กว้างขวางอย่างจริงจังเสียที
การปฏิรูปทางการเมืองครั้งนี้จะกว้างขวางจริงจังแค่ไหนยังต้องวัดกันในทางปฏิบัติ แต่หากฟังออง ซาน ซูจี ที่เป็นคู่กรณีกับเผด็จการทหารพม่ามาตลอดแล้ว ก็ต้องเชื่อว่าอย่างน้อยแสงสว่างก็มีให้เห็นจากปลายถ้ำแล้ว
และการตัดสินใจให้พรรค “สันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย” (National League for Democracy หรือ NLD) กลับไปจดทะเบียนอีกครั้ง และตัวเธอเองก็จะลงสมัครรับเลือกตั้งอีกรอบนั้น เป็นการบอกกล่าวที่ค่อนข้างชัดเจน ว่า อะไรๆ กำลังจะก้าวสู่ยุคใหม่ทางการเมืองของพม่าอย่างปฏิเสธไม่ได้
การที่ประธานาธิบดี บารัก โอบามา ตัดสินใจส่ง ฮิลลารี คลินตัน ไปพม่านั้น ย่อมแปลว่า ได้วิเคราะห์สถานการณ์รอบด้านในพม่าแล้ว เห็นว่ามีความคืบหน้าเพียงพอที่วอชิงตันจะสามารถแสดงออกทางการทูตอย่างเปิดเผย เพื่อผลักดันให้ความเปลี่ยนแปลงนั้นเดินหน้าต่อไปอย่างเป็นรูปธรรม
เห็นข่าวรัฐบาลกลางลงนามสงบศึกษากับกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธใกล้ชายแดนไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ย่อมตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรองดองแห่งชาติที่โยงใยไปถึงทุกส่วนที่มีความสำคัญต่ออนาคตของพม่าเอง
ประเด็นหลักที่ฮิลลารี จะพูดคุยกับประธานาธิบดีเต็ง เส่ง และ ออง ซาน ซูจี ก็คงหนีไม่พ้น
1. การปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมด
2. การสงบศึกระหว่างรัฐบาลกลางกับชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่มอย่างถาวร
3. ก้าวเดินสู่ประชาธิปไตยในรายละเอียด (เช่นจำนวนที่นั่งของกองทัพในสภาที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ)
4. เสรีภาพของการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน
5. สถานภาพของสิทธิมนุษยชนในพม่า
6. ความสัมพันธ์ของพม่ากับเกาหลีเหนือ
7. ความสัมพันธ์ของพม่ากับจีนและอินเดีย
8. ปัญหายาเสพติดจากพม่า
ที่น่าเป็นห่วง คือ ประโยคของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ที่พูดเมื่อเร็วๆ นี้ว่าเขาไม่เชื่อว่าพม่ามี“นักโทษแห่งมโนธรรม” (prisoners of conscience) อันหมายถึง นักโทษการเมืองที่รัฐบาลจับติดคุกเพียงเพราะเขามีความเห็นไม่ตรงกับผู้มีอำนาจทางการเมืองเท่านั้น
บ่อยครั้งก็ยัดเยียดข้อหาอาญาเพื่อกลบเกลื่อนเป้าหมายที่แท้จริง หรือต้องการกำจัดคนที่มีความติดต่างไปจากตนเท่านั้น
แนวคิดอย่างนี้เป็นของผู้นำทหารที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในอดีต แต่วันนี้วิธีคิดอย่างนี้ย่อมไม่สอดคล้องกับการขับเคลื่อนสู่ความเป็นประชาธิปไตยได้เลย
ฮิลลารี จะประกาศยกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อพม่าช้าเร็วแค่ไหน ย่อมอยู่ที่ว่าการที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองชัดแจ้งแค่ไหน และประชาชนคนพม่าเองเชื่อแค่ไหนว่านี่คือของจริง หรือเพียงแค่ละครตบตาอีกรอบหนึ่งเท่านั้น
ฮิลลารี บอกกับ Fox News ว่า “เรายังไม่ยกเลิกการคว่ำบาตร เรายังไม่เตรียมประกาศความเปลี่ยนแปลงในนโยบายของเราอย่างฉับพลันทันทีในขณะนี้ เราต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม และนั่นเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายของการไปเยือนพม่าของฉัน...”
ทุกประโยคทุกลีลาของเต็ง เส่ง, ฮิลลารี, ออง ซาน ซูจี จะถูกวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแน่นอน
ที่สำคัญจริงๆ ไม่ใช่เพราะ ฮิลลารี คลินตัน บินไปเมืองหลวงเนย์ปิดอว์วันนี้เพื่อยื่นมือจับกับประธานาธิบดีเต็ง เส่ง และบินต่อมาที่ย่างกุ้งเพื่อยืนเคียงคู่กับ ออง ซาน ซูจี, นักต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย, เท่านั้น หากแต่ที่เป็นหัวใจของการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ คือ การที่คนพม่าเองจะก้าวออกจากความมืดมนทางการเมืองยาวนานมาหลายสิบปีเพื่อใช้สิทธิทางการเมืองของตนได้กว้างขวางอย่างจริงจังเสียที
การปฏิรูปทางการเมืองครั้งนี้จะกว้างขวางจริงจังแค่ไหนยังต้องวัดกันในทางปฏิบัติ แต่หากฟังออง ซาน ซูจี ที่เป็นคู่กรณีกับเผด็จการทหารพม่ามาตลอดแล้ว ก็ต้องเชื่อว่าอย่างน้อยแสงสว่างก็มีให้เห็นจากปลายถ้ำแล้ว
และการตัดสินใจให้พรรค “สันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย” (National League for Democracy หรือ NLD) กลับไปจดทะเบียนอีกครั้ง และตัวเธอเองก็จะลงสมัครรับเลือกตั้งอีกรอบนั้น เป็นการบอกกล่าวที่ค่อนข้างชัดเจน ว่า อะไรๆ กำลังจะก้าวสู่ยุคใหม่ทางการเมืองของพม่าอย่างปฏิเสธไม่ได้
การที่ประธานาธิบดี บารัก โอบามา ตัดสินใจส่ง ฮิลลารี คลินตัน ไปพม่านั้น ย่อมแปลว่า ได้วิเคราะห์สถานการณ์รอบด้านในพม่าแล้ว เห็นว่ามีความคืบหน้าเพียงพอที่วอชิงตันจะสามารถแสดงออกทางการทูตอย่างเปิดเผย เพื่อผลักดันให้ความเปลี่ยนแปลงนั้นเดินหน้าต่อไปอย่างเป็นรูปธรรม
เห็นข่าวรัฐบาลกลางลงนามสงบศึกษากับกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธใกล้ชายแดนไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ย่อมตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรองดองแห่งชาติที่โยงใยไปถึงทุกส่วนที่มีความสำคัญต่ออนาคตของพม่าเอง
ประเด็นหลักที่ฮิลลารี จะพูดคุยกับประธานาธิบดีเต็ง เส่ง และ ออง ซาน ซูจี ก็คงหนีไม่พ้น
1. การปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมด
2. การสงบศึกระหว่างรัฐบาลกลางกับชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่มอย่างถาวร
3. ก้าวเดินสู่ประชาธิปไตยในรายละเอียด (เช่นจำนวนที่นั่งของกองทัพในสภาที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ)
4. เสรีภาพของการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน
5. สถานภาพของสิทธิมนุษยชนในพม่า
6. ความสัมพันธ์ของพม่ากับเกาหลีเหนือ
7. ความสัมพันธ์ของพม่ากับจีนและอินเดีย
8. ปัญหายาเสพติดจากพม่า
ที่น่าเป็นห่วง คือ ประโยคของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ที่พูดเมื่อเร็วๆ นี้ว่าเขาไม่เชื่อว่าพม่ามี“นักโทษแห่งมโนธรรม” (prisoners of conscience) อันหมายถึง นักโทษการเมืองที่รัฐบาลจับติดคุกเพียงเพราะเขามีความเห็นไม่ตรงกับผู้มีอำนาจทางการเมืองเท่านั้น
บ่อยครั้งก็ยัดเยียดข้อหาอาญาเพื่อกลบเกลื่อนเป้าหมายที่แท้จริง หรือต้องการกำจัดคนที่มีความติดต่างไปจากตนเท่านั้น
แนวคิดอย่างนี้เป็นของผู้นำทหารที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในอดีต แต่วันนี้วิธีคิดอย่างนี้ย่อมไม่สอดคล้องกับการขับเคลื่อนสู่ความเป็นประชาธิปไตยได้เลย
ฮิลลารี จะประกาศยกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อพม่าช้าเร็วแค่ไหน ย่อมอยู่ที่ว่าการที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองชัดแจ้งแค่ไหน และประชาชนคนพม่าเองเชื่อแค่ไหนว่านี่คือของจริง หรือเพียงแค่ละครตบตาอีกรอบหนึ่งเท่านั้น
ฮิลลารี บอกกับ Fox News ว่า “เรายังไม่ยกเลิกการคว่ำบาตร เรายังไม่เตรียมประกาศความเปลี่ยนแปลงในนโยบายของเราอย่างฉับพลันทันทีในขณะนี้ เราต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม และนั่นเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายของการไปเยือนพม่าของฉัน...”
ทุกประโยคทุกลีลาของเต็ง เส่ง, ฮิลลารี, ออง ซาน ซูจี จะถูกวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแน่นอน
No comments:
Post a Comment