คุณเห็นพรรคไหนพูดถึงวิธีหาเงินเข้ารัฐไหม? ไม่มี
ถ้าพรรคการเมืองทำตามที่สัญญาให้กับประชาชนเรื่องให้ทุกของฟรีๆ ขึ้นค่าจ้าง ลดภาษี จะเกิดอะไรขึ้นกับฐานะการเงินของประเทศ? คุณเห็นพรรคไหนไม่พูดถึงการลดแลกแจกแถมให้ประชาชนไหม? ทุกพรรคมีกึ๋นแค่นี้
เจ๊งลูกเดียวครับ
ถ้าอย่างนั้น ทำไมนักการเมืองหาเสียงด้วยการให้โน่นให้นี่ประชาชนเหมือนประเทศไทยนี่ร่ำรวยมหาศาล?
เพราะเขารู้ว่าเมื่อเข้าไปมีอำนาจทางการเมืองแล้ว ก็สามารถหาเหตุแก้ตัว ไม่ต้องทำตามที่สัญญาให้ไว้กับประชาชนตอนนี้
หรือไม่ก็ทำตัวเหมือนศรีธนญชัยว่าที่สัญญานั้นไม่ได้บอกว่าจะทำเมื่อไหร่ และจะทำได้หมดหรือไม่
อีกทั้งถ้าหากเป็นรัฐบาลผสมด้วย ก็จะหาเหตุอ้างว่าต้องประสานนโยบายเพื่อให้มีเสถียรภาพทางการเมือง จึงไม่สามารถทำทุกอย่างได้
เอาไว้คราวหน้า ขอให้เลือกเข้ามาอีก จะทำตามที่สัญญาตอนนี้ให้อีกรอบหนึ่ง
ไม่ว่าใครที่มีความรู้พื้นฐานเรื่องเศรษฐกิจบ้างก็คงจะรู้ว่าที่พรรคการเมืองต่างๆ หาเสียงโดยไม่มีใครออกมาบอกว่าจะหารายได้เพิ่มเติมอย่างไรนั้น เป็นเรื่องของการ “พูดความจริงเพียงครึ่งเดียว” ทั้งสิ้น
ไม่มีนักการเมืองไหนยอมตอบคำถามตรงไปตรงมาว่าไอ้ที่สัญญาว่าจะใช้เงินทองมหาศาลตามนโยบายหาเสียงของตนนั้น มีวิธีการสร้างรายได้เพิ่มเติมอย่างไรเพื่อให้เห็นไปตามที่รับปากรับคำไว้กับประชาชน
มีการประเมินกันว่าหากเชื่อตามนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ที่เสนอนโยบาย “ประชานิยม” กันอย่างไม่เกรงอกเกรงใจผู้เสียภาษีนั้น หากประเมินรายจ่ายในช่วง 4 ปีจากนี้ไปแล้ว ต้องใช้เงินสูงถึง 3 ล้านล้านบาท (มติชนรายวัน อังคารที่ 7 มิถุนายน)
เป็นตัวเลขที่ไม่มีใครต้องแปลกใจเลย เพราะเป็นการเสนอนโยบายที่ไร้ความรับผิดชอบ และขาดแผนการหารายได้มาทำให้แผนการเหล่านั้นเกิดขึ้นเป็นจริง
ซ้ำร้ายกว่านั้นก็คือว่าไม่มีพรรคการเมืองไหนที่แข่งขันด้วยกล้าออกมาวิพากษ์ หรือเสนอความจริงที่ว่าถ้าทุกพรรคใช้เงินกันสุรุ่ยสุร่ายอย่างนั้น ประเทศชาติจะตกอยู่ในสภาพกระเป๋าฉีกอย่างไร
พูดกันง่ายๆ ก็คือว่านักเลือกตั้งทั้งหลายประกาศนโยบายแจกจ่ายเงิน และผลประโยชน์ให้สาธารณชนก็เพื่อต้องการได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้งเท่านั้น
มิได้มีแผนการที่จะปูพื้นฐานและวางรากฐาน เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของไทย ในเวทีระหว่างประเทศเลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าถ้าทำตามที่พรรคการเมืองสัญญิงสัญญาตอนนี้ คำว่า “วินัยการคลัง” ก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์
ยิ่งถ้าหากพรรคการเมืองใดได้รับเลือกเข้าไปเป็นรัฐบาลและต้องการ “ครองใจ” ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต่อไป เพื่อให้ตนและพวกอยู่ในอำนาจต่อไปอีกยาวนาน ก็จะใช้เงินภาษีประชาชนนี่แหละที่จะ “ซื้อใจ” ให้พรรคของตนอยู่ต่อไป
ที่นักการเมืองบางคนอ้างว่า “สอนคนยากไร้ให้ตกปลาเอง ไม่ยื่นปลาไปให้กินเฉยๆ” นั้นฟังดูเป็นเพียงวาทกรรมในขณะหาเสียงและพูดจาให้ฟังดูดีเท่านั้นเอง
แต่ในความเป็นจริงทางปฏิบัตินั้น ผมยังไม่เห็นแผนการของพรรคใดที่จะเพิ่มอำนาจต่อรองของชาวรากหญ้า และวางพื้นฐานของการเรียนรู้เพื่อการเติบโตด้วยตนเองอันยั่งยืนแต่อย่างไรทั้งสิ้น
นี่คือ “ตลกร้าย” ของประเทศที่มีแต่คนอ้างความเป็น “ประชาธิปไตย” เพื่ออำนาจของตน แต่มิได้ใช้ “ประชาธิปไตย” เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับเจ้าของประเทศแม้แต่น้อย
เป็นเรื่องน่าประหลาดที่นักเลือกตั้งไม่เสนอแนวทางแสดงความสามารถในการ “สร้างรายได้” แต่กลับภาคภูมิใจหนักหนากับการประกาศว่าหากเข้าไปมีอำนาจในรัฐบาลจะแสดงถึงความเก่งกาจสามารถในการ “ใช้เงิน” ให้ประชาชนได้ประจักษ์
นักการเมืองภูมิใจว่า “ใช้เงิน” เก่ง แต่ “หาเงิน” ให้ประเทศไม่เป็นนอกจากเข้ากระเป๋าตัวเองนี่ไงที่อันตรายยิ่งนัก
No comments:
Post a Comment